ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น.
โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แต่ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 โดยบรรยากาศที่ศาลอาญาช่วงเช้าที่ผ่านมา พบว่า จำเลยในคดีนี้ได้ทยอยเดินทางมาที่ศาลอาญา อย่างนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งได้เดินทางมาถึงศาลเป็นคนแรกเมื่อช่วงเวลา 07:45 น.
ขณะเดียวกัน ยังได้มีบรรดาอดีตแนวร่วม พธม. และผู้ให้การสนับสนุนคนสำคัญ ทยอยเดินทางมาให้กำลังใจจำเลย เช่น นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต, ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี, นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ พร้อมกันนี้ ได้มีกลุ่มมวลชนบางส่วนเดินทางมาให้กำลังใจจำเลยทั้งที่ศาลอาญาด้วย
ต่อมาเวลา 08:37 นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที สื่อมวลชนและหนึ่งในจำเลยคดีนี้ ได้เดินทางมาถึงศาลอาญา วันนี้ตนเตรียมใจยอมรับทุกผลของคำพิพากษา ถือเป็นคดีที่ยาวนานมาพอสมควร ที่ผ่านมาแล้วก็ต่อสู้คดียืนยันข้อเท็จจริงเท่าที่เรามีทั้งหมด โดยใช้ความสัตย์จริงและพยานหลักฐานมาต่อสู้นำเสนอแก่ศาล โดยมองว่า ตอนนั้นเป็นเวลาการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนในช่วงนั้นที่มีผู้คนหลากหลายและมีผู้คนร่วมต่อสู้จำนวนมาก ตนเองไม่ใช่แกนนำ ไม่เก่งทั้งเรื่องการเมือง แต่เป็นที่รู้จักในฐานะสื่อมวลชน เป็นแค่นักข่าวชาวบ้านคนหนึ่ง ก็มีหน้าที่สื่อสารให้ทุกอย่างอยู่ในครรลองของกฎหมาย สื่อสารให้พลเมืองของคนในชาติทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
ที่ผ่านมาต้นก็รับผิดชอบสื่อสารแก่มวลชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นจิตสำนึกของตนเอง จึงเป็นไปไม่ได้ในข้อกล่าวหาที่อ้างว่า ตนเองเป็นระดับผู้สั่งการให้บุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT ตนจึงมั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีจะสามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้ ส่วนคำพิพากษาของวันนี้จะมีผลต่อมวลชนหรือไม่นั้น มองว่ากาลเวลาเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนมีความสุขุม ลึกซึ้ง และเข้าใจการเมืองมากขึ้น คงเชื่อว่าคงไม่มีผลอะไร ต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะสังคมมีพัฒนาการคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งมองว่า ตอนนี้สำนึกของคนในสังคมไปอยู่ที่สถานการณ์ชายแดนมากกว่า
นายยุทธิยง ยอมรับว่าก็อยากกลับบ้าน อยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว อยากกลับไปทำหน้าที่สื่อมวลชน เพราะอย่างไรบ้านก็คือที่ที่อบอุ่นที่สุด
ต่อมาเวลา 08:45 น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนและหนึ่งในจำเลยคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึด NBT เมื่อปี 2551 เดินทางมาถึงศาลอาญา เมื่อมาถึงก็ได้สวมกอดทักทายผู้มาให้การสนับสนุน ก่อนจะเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ไม่ว่าผลของคำพิพากษาเป็นอย่างไร ตนก็น้อมรับ ซึ่งที่ผ่านมาตนและทีมกฎหมายก็ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาได้แสดงพยานหลักฐานยอมรับข้อเท็จจริงต่อศาลว่าทำอะไรลงไปบ้าง แต่ยืนยันเจตนาว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อเป็นการต่อสู้ให้สังคมมีคุณภาพที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไม่ใช่เป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งทุกคนก็เห็นการต่อสู้ของตนมาตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา โดยได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าตนมีเจตนา อุดมการณ์ และมีความตั้งใจอย่างไร โดยเฉพาะในชั้นฎีกา ตนก็ยอมรับข้อเท็จจริงกับศาล และให้เหตุผลว่ากระทำไปเพื่ออะไร โดยไม่ได้เขียนฎีกาที่ยืดยาวมากหรือโต้แย้งอะไร เพียงแต่ขอความเมตตาจากศาลฎีกาว่า เรายอมรับข้อเท็จจริงด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้กระทำไปเพื่อผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทุกอย่างทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง
ทั้งนี้ ตนเองก็ได้เตรียมใจในทุกผลของคำพิพากษา หากเป็นผลในเชิงบวก ตนก็ได้กลับบ้านแล้วก็กลับไปทำหน้าที่สื่อมวลชนดั้งเดิม แต่หากผลออกมาในเชิงลบ ก็แค่จำคุก 1 ปี เมื่อพ้นโทษออกมาตนก็กลับมาทำหน้าที่สื่อมวลชนเช่นเดิมและยังต่อสู้เพื่อบ้านเมืองต่อไป ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงตนได้ แต่ทั้งนี้ ตนก็ได้ศึกษาวิถีการใช้ชีวิตหากต้องโทษจำคุกจริง ๆ รวมทั้งได้เคลียร์งานและพบแพทย์ตรวจสุขภาพเตรียมเอาไว้แล้ว ไม่คิดท้อต่อความเชื่อมั่นที่จะช่วยประเทศชาติ ยืนยันว่าทุกอย่างทําไปภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่ยอมรับว่าอาจมีบ้างล้ำเส้นไปบ้าง
ทั้งนี้ ตนยังมีกำลังใจที่ดีมาก กำลังใจจากพี่น้องประชาชนเต็มโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก ส่วนตัวก็กินอิ่มนอนหลับมาตลอดหนึ่งเดือน เมื่อรับทราบนัดฟังคําพิพากษา ก็เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนกรณีที่มีโลกออนไลน์ออกมาเปรียบเทียบตนกับนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ตนได้เห็นแล้ว ยอมรับว่าถูกต้อง เพราะกว่าที่เราจะลากนายทักษิณเข้าเรือนจำได้นั้นก็ยากลําบาก
สำหรับในวันนี้ จะมีเพียงแค่จำเลย 3 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษา เพราะนายภูวดล ทรงประเสริฐ จำเลยอีกหนึ่งรายป่วยติดเตียงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ขอให้ศาลเลื่อนการอ่านคำพิพากษาแต่อย่างใด เพราะเราต้องทำตามกระบวนการของศาล เพียงแต่ได้เตรียมเอกสารพยานหลักฐานและภาพถ่ายทุกอย่างมายืนยันกับศาลว่านายภูวดล ไม่สามารถเดินทางมาที่ศาลได้จริง ส่วนมองว่าผลการตัดสินในวันนี้จะส่งผลต่อการต่อสู้ทางการเมืองหรือไม่ น.ส.อัญชลี ตอบว่า “ไม่เลย” เพราะตนไม่ใช่นักการเมือง ตนเป็นภาคประชาชน ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบหรือกระเทือนต่อจิตใจ อย่างไรก็ตาม ตนยังคิดเหมือนเดิมและจะทําต่อไป ไม่ว่าจะติดคุกหรือไม่ ขอยืนยันว่าหากผลตัดสินออกมาทางลบ ก็จะไม่เป็นอุปสรรค เพราะตนอยากให้บ้านเมืองนั้นดี อยากให้ทุกคนอยู่ในสังคมที่มีคุณภาพ สิ่งที่ทํามาตลอด 20 ปี ตนไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ หรือตําแหน่งอะไรเลย ทุกครั้งที่ออกจากการเคลื่อนไหว พอเสร็จสิ้นตนก็กลับมาทํางานสื่อเหมือนเดิม
ฉะนั้นคําพิพากษาไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ผิดก็คือผิด เมื่อเราได้ออกมาแล้ว หากการเมืองไม่ดีเราก็จะทําอีก ไม่มีอะไรสามารถปิดกั้นและขัดขวางตนได้ และเชื่อว่าผลคําพิพากษาวันนี้จะไม่มีผลต่อมวลชน เพราะเราไม่เคยปลุกระดมหรือปลุกเร้าผู้คน เพียงแต่บอกความจริงให้กับประชาชนด้วยตัวของตัวเอง เช่นวันนี้ทั้งญาติและเพื่อนต้องการที่จะเดินทางมา ตนก็ไม่ให้มา ยืนยันว่าจะมาที่นี่เพียงคนเดียว ถ้าได้กลับบ้านก็จะกลับด้วยกัน แต่ถ้าไม่ได้กลับก็ค่อยมาเยี่ยม.-416-สำนักข่าวไทย