กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – ออมสิน เชื่อคนละครึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะหากได้ประโยชน์เพิ่ม “เป๋าตัง” ควรแชร์ดาต้าข้อมูลซื้อขาย เพื่อช่วยให้ผู้ค้ากู้เสริมสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น รวมทั้งควรหาช่องทางออนไลน์และลด VAT รายกลุ่มระยะสั้น มองพร้อมเป็นเครื่องยนต์ช่วยฐานราก-เอสเอ็มอี เล็งอัดฉีดซอฟต์โลนแสนล้านบาท ให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อช่วย คิดดอกเบี้ยแค่ 3.50%
นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ให้ความเห็นว่าการที่รัฐบาลมีนโยบาย คนละครึ่ง จะส่งผลดีต่อเศราษฐกิจ ก่อให้เกิดวงรอบหมุนเศรษฐกิจดีขึ้น คนมั่นใจจับจ่ายใช้สอย แต่หากรัฐบาลอออกมาตรการเพิ่มเติม เช่น ลดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายสาขา ช่วง 1-2 ปี เช่น กลุ่มค้าขาย ค้าปลีก รวมทั้งเพิ่มช่องทางออนไลน์แก่ผู้ประกอบการ ก็จะช่วยได้มากขึ้น หรือเจรจากับช่องทางออนไลน์ แอปฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ช่วยลดค่าธรรมเนียมที่เก็บสูงมากก็จะเป็นการช่วยได้เช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่า รายย่อยต่าง ๆ อาจจะมีข้อจำกัดการจำหน่ายสินค้า
นอกจากนี้จากปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบของผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อย ก็สามารถใช้ระบบคนละครึ่งมาร่วมแก้ปัญหาได้ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ในการแชร์ข้อมูลลูกค้านอกเหนือจากระบบร่วม (pool )ในการจ่ายเงิน โดยอาจติดปัญหา PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งภาครัฐก็ต้องออกนโยบายมาดูแลส่วนนี้ โดยเมื่อแชร์ดาต้า หรือข้อมูลการซื้อขายทุกธนาคารก็ใช้นำมาวิเคราะห์รายได้ของผู้ค้า ก็จะทำให้เป็นข้อมูลให้ผู้ค้าขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้นจากปกติผู้ประกอบการรายเล็ก จะไม่ค่อยเก็บเอกสาร ดังนั้น ดาต้าจากเป๋าตังก็จะช่วยได้ ในการปล่อยกู้ ช่วยเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ค้ารายย่อยต่างๆ
“ครม.ใหม่จะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นเพราะเมื่อมีเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งดีขึ้น การทำงานของภาครัฐที่ต่อเนื่อง ยิ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นกำลังซื้อ เช่น คนละครึ่งออกมา ก็ทำเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งก่อนหน้านี้แบงก์ชาติก็ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ จากโต 1.7-1.8% เป็น 2.3% ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันโดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีสหรัฐ การท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย “นายวีระชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารออมสิน พร้อมสนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เดินหน้ายุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคม ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน, สร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับกลุ่มฐานรากและ SMEs พร้อมเป็น “แหล่งทุนต่อยอด” ในหลายโครงการ พร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือและประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย
ที่ผ่านมาธนาคารออมสินได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน
ล่าสุด ธนาคารเตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญ แบ่งเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย รวมเป็นลูกค้า 1.73 ล้านราย
นายวีระชัย กล่าวว่า ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลต์สำคัญได้แก่ AI Optimized Loan Processing and Underwriting ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ AI Chatbot for Branch ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน.-511- สำนักข่าวไทย