กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์ ก.ค.68 อยู่ที่ 110,616 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 11.39% ขณะที่การส่งออกรถยนต์ตกฮวบเหลือเพียง 72,439 คัน ลดจากปีที่แล้ว 13.27% ขณะที่รถไฟฟ้ายังโต ส่งผลให้ยอดขายในประเทศโตต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ในเดือน ก.ค. 2568 มีทั้งสิ้น 110,616 คันลดลงจากเดือนมิ.ย. 2568 ที่ 15.06% และลดลงจากเดือน ก.ค. ปี 2567 ที่ 11.39% โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันลดลง 31.80% เนื่องจากการเลิกเพื่อส่งออกในบางรุ่น
ส่วนรถกระบะยังผลิตลดลงต่อเนื่อง ทั้งการผลิตขายในประเทศ และผลิตเพื่อส่งออกเนื่องจากความไม่แน่นอนในการค้าโลก ส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ม.ค.-ก.ค. มีทั้งสิ้น 835,331 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.73% ส่วนยอดผลิตเพื่อส่งออก ในเดือน ก.ค. ผลิตได้ 74,100 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.35% ส่วนยอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศในเดือน ก.ค. ผลิตได้ 36,516 คัน ลดลง 2.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ ม.ค.-ก.ค. ผลิตได้ 286,218 คัน เพิ่มขึ้น 1.37%

ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในเดือน ก.ค. มีทั้งสิ้น 49,102 คัน เพิ่มขึ้น 5.84% โดยเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน เนื่องจากยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน ขณะที่รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องมากกว่า 30 เดือน เหลือแค่ 11,022 คัน จากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำ 2.8% ในไตรมาส 2 การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ 4.1% สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ 1.7% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตแค่ 2.1%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออก รถยนต์สำเร็จรูป เดือนกรกฎาคม 2568 ส่งออกได้ 72,439 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 17.76% และลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ 13.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่นเพราะจะเปลี่ยนรุ่นรถ รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้ายังส่งออกอีกในเดือนนี้ 167 คัน ปีนี้จึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้าดังที่รัฐบาล และเอกชนร่วมมือกันให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ใช้น้ำมัน และยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีนโยบาย และความพร้อมของโครงสร้างแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และการเข้มงวดในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของรถยนต์ของประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกรถยนต์เดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงหวังว่ารัฐบาลจะเร่งใช้งบประมาณปี 69 เพื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อให้ฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือน ก.ค. จดทะเบียนใหม่ 12,124 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 45.51% ส่งผลให้ 7 เดือน มียอดจดทะเบียนใหม่สะสม 81,179 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 35.08%


“ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในช่วงที่เหลือของปี2568 คาดว่าเหมือนช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา คงไม่ทรุดไปมากกว่านี้ เนื่องจากบอร์ดบีโอไอได้ให้สิทธิประโยชน์ในด้านการลงทุนต่าง ๆ ส่วนที่ กนง.ที่มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงช่วยให้ผู้กู้ลดภาระค่าดอกเบี้ยลง สามารถชำระคืนเงินกู้ได้มากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลง และขอบคุณทีมไทยแลนด์ที่เจรจากับทีมงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนได้อัตราภาษี 19% ซึ่งน่าจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และในประเทศได้มากขึ้น และสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยมากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลงจากการชำระหนี้ ไม่ใช่ลดลงเพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อซึ่งลดลงมาหลายไตรมาสแล้ว อย่างไรก็ดีแม้อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่เก็บจากสินค้าไทยอยู่ที่ 19% ก็ถือว่าพอสู้กับประเทศคู่แข่งได้ และคาดว่าน่าจะทำให้ส่งออกของไทยและประเทศคู่ค้าดีขึ้น” นายสุรพงษ์ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย