กระทรวงการคลัง 27 มิ.ย.- “พิชัย” เผยเบื้องหลังเจรจาภาษีกับสหรัฐ ค่าจ้าง Lobbyist พุ่ง หลังต้องแข่งกับหลายประเทศ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเจรจาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เกี่ยวกับภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐฯ ยอมรับว่า มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายสหรัฐฯ ได้มอบหมายหัวหน้าเจรจาหลายหน่วย หลาย Level เช่น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ (U.S. Department of Commerce) ,
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และรัฐมนตรีคลังสหรัฐ (Secretary of the Treasury)
รัฐบาลไทยจึงต้องพร้อมรับมือกับทุกแนวทางที่สหรัฐฯ จะดำเนินการ โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ( สศค.) และกรมเจรจาการค้าฯ ทำงานประสานกันแบบคู่ขนาน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบ และสามารถเจรจาได้อย่างครอบคลุมในทุกระดับ นายพิชัย ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาระดับนโยบายทำหน้าที่กำกับการเจรจาสอดคล้องกับบริบทของสถานการณ์
ยอมรับว่า การเจรจากับสหรัฐ ต้องใช้ Lobbyist ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติโดยมี อัตราค่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาหรือ Lobbyist ในสหรัฐฯ สูงถึง 20,000 – 300,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สำหรับการให้บริการทั่วไป แต่ในกรณีปัจจุบัน สถานการณ์ “Reciprocal Tariff” ทำให้ต้องหาบริษัทที่ปรึกษามีความสามารถเฉพาะทางสูง และมีความสัมพันธ์เชิงนโยบายกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลสหรัฐฯ จึงเรียกราคาสูงขึ้นกว่าปกติได้ โดยเฉพาะงานต้องดำเนินการเร่งด่วน แข่งกับประเทศอื่น และเกี่ยวพันกับมูลค่าการค้าและการส่งออกของไทยนับแสนล้านบาทต่อปี
นายพิชัย ขอยืนยันความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะอเมริกามีกฏหมายการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ภายใต้กฎหมาย FARA (Foreign Agents Registration Act) ว่า
ทุกสัญญาว่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะต้องมีการ เปิดเผยรายละเอียดบนเว็บไซต์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (U.S. Department of Justice) อย่างชัดเจน
“ถ้าเราไม่มีตัวแทนที่ดี ไม่มีทีมเข้าใจสหรัฐฯ ไม่มีเครื่องมือที่แข็งแรง ประเทศไทยอาจต้องสูญเสียตลาด ส่งออกสะดุด เกษตรกร-ผู้ประกอบการเจ็บหนัก การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศในโลกยุคปัจจุบัน ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจเชิงเทคนิค ความละเอียดรอบคอบ และความกล้าที่จะตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสม” .-515 สำนักข่าวไทย