ทำเนียบฯ 24 มิ.ย. – ครม.เห็นชอบงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ดันจีดีพีร้อยละ 0.4 เร่งเบิกจ่ายงบไตรมาส 4 ภาคอีสานรับงบอันดับ 1 กำชับเจ้ากระทรวงคุมเข้มการลงทุนโปร่งใส ตรวจสอบได้ ย้ำวงเงินเหลือ 4 หมื่นล้าน พร้อมพิจารณาเพิ่มเติม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยผู้บริหารหลายหน่วยงาน ร่วมแถลงผลประชุม ครม.เห็นชอบแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบ 1.57 แสนล้านบาท อนุมัติงบกลางลอตแรก 1.15 แสนล้านบาท หลังจากเกิดปัญหาสงครามทางการค้า ปัญหา ”ทรัมป์“ เก็บภาษีนำเข้าหลายประเทศ จึงกระทบกับเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลก คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเห็นชอบจัดสรรงบกลางให้ 50 หน่วย 481 โครงการ (8,939 รายการ) กรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว
คาดว่าหลายโครงการช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ โดยเน้นกระจายงบไปทั่วประเทศ โดยภาคอีสานได้รับงบมากที่สุดอันดับ 1 เพราะมีรายได้ต่อหัวน้อยที่สุด การคัดเลือกโครงการที่มีความพร้อม ใช้งบไม่เกิน 5 แสนบาทต่อโครงการ จึงต้องการเร่งรัดให้จัดซื้อจัดจ้าง รีบทำสัญญางบผูกพันภายใน ก.ย.68 และใช้งบถึง ก.ย.69 คาดว่างบเริ่มออกสู่ระบบไตรมาส 4 ปี 68 นี้ สำหรับงบที่เหลือกว่า 4 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจะพิจารณาอนุมัติเพิ่มเติม


นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทุกส่วนราชการใช้เงินลงทุนอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ รักษาวินัยการเงินการคลัง จึงต้องอนุกรรมการประเมินผลและติดตามผลงาน เพื่อรายงานต่อบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หากตรวจพบโครงการทำผิดกฎหมายให้เจ้ากระทรวงสั่งยุติโครงการทันที มอบหมายให้สำนักงบประมาณ ติดตามดูแลการเบิกจ่ายอย่างเข้มงวด ถูกต้องตามกฎหมาย หวังให้การใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจบรรลุตามวัตถุงประสงค์ของรัฐบาล
สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติ ประกอบด้วย 1)ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จัดสรรงบกลางให้ 85,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 1.1 โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ วงเงิน 39,136 ล้านบาท เพื่อใช้พัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ การพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน การพัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำและการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง ป้องกันอุทกภัย ภัยแล้ง กระจายน้ำไปยังชุมชนและพื้นที่ต่าง ๆ ปรับปรุงระบบน้ำประปา ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791 ล้านไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน จ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน
1.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ผ่านการพิจารณา 26 โครงการ วงเงิน 45,864 ล้านบาท เช่น การพัฒนาถนนเชื่อมเมืองรอง การเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง การพัฒนาโครงข่ายส่งเสริมพื้นที่เกษตรกรรม การแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนน การแก้ไขปัญหาจราจร พื้นที่คอขวด และพื้นที่ขาดความเชื่อมโยง คาดว่าพัฒนาถนนในภาพรวมได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง สร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน


2) ด้านการท่องเที่ยว ผ่านการพิจารณา 420 โครงการ วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ ป้ายบอกทาง ระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ด้วยการติดตั้งวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ การกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ในพื้นที่เมืองรอง คาดว่าดึงนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์ เพื่อการท่องเที่ยว 7.6 ล้านคน
3) ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ วงเงิน 11,122 ล้านบาท เช่น ช่วยเหลือด้านการเกษตร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี ด้านแรงงาน 10,000 ล้าน บาท ช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงานและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ภาคเกษตรกรรม และการให้บริการประชาชนกว่า 20,000 ราย ยอมรับว่าการส่งออกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโลก เมื่อใช้งบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ จะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนลดลง
4) ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ ผ่านการพิจารณา 17 โครงการ 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เพื่อใช้พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) วงเงิน 4,000 ล้านบาท (2) ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท และ (3) พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วงเงิน 1,560 ล้านบาท การอนุมัติงบดังกล่าวเพิ่มเติมจากงบประจำปี เนื่องจากยังมีกองทุน SML ยังไม่ได้รับงบอีกจำนวนมาก จึงใช้เงินส่วนนี้เข้าไปพัฒนาเพิ่มเติม
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังให้เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ จึงได้งบในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ภาคอีสานจึงได้รับงบสูงสุด ขณะที่ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และภาคกลาง มีรายได้ต่อหัวสูง จะมีการกระจายวงเงินงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยกว่า และมุ่งให้จังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงกว่าจังหวัดเศรษฐกิจใหญ่ คาดช่วยในสาขาก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง สาขาการเงิน
รัฐบาลประเมินเม็ดเงินลงทุน ทำให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30 ของของเม็ดเงินรวม 115,375 ล้านบาท รัฐบาลจึงเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของประเทศ.-515- สำนักข่าวไทย