ศาลฎีกาฯ 13 มิ.ย.-“ชาญชัย” ย้ำไม่ใช่คดีการเมือง แต่คือการพิสูจน์ว่า “ทักษิณ” ถูกบังคับโทษจริงหรือไม่ พร้อมเผยเตรียมเอกสารมาแจงเพิ่ม หากศาลต้องการก็พร้อมแจงทันที
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการบังคับโทษตามกฎหมายหรือไม่ เข้าร่วมรับฟังการไต่สวน พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้เป็นนัดแรกที่ศาลเรียกทุกฝ่ายเข้ามา เพื่อดำเนินกระบวนการไต่สวนตามคำร้องที่เคยยื่นไว้ก่อนหน้านี้
นายชาญชัย ระบุว่า ตนเดินทางมาเพื่อรับฟังและเตรียมความพร้อม หากศาลเปิดโอกาสให้ชี้แจงเพิ่มเติมจะได้นำเสนอเอกสารหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่าข้อมูลที่ยื่นไปก่อนหน้านี้มีรายละเอียดจำนวนมาก และหากฝ่ายใดให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตนก็จะเสนอข้อมูลให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติม
นายชาญชัย ย้ำว่า คดีนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้มีความถูกต้อง ทั้งยังมองว่า ศาลมีอำนาจเรียกพยานและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน
สำหรับกรณีที่ทนายของนายทักษิณขอขยายเวลาชี้แจงคำร้อง นายชาญชัย เห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถใช้ได้ เพราะศาลได้ออกหมายกำหนดให้ส่งคำชี้แจงภายใน 30 วันหลังได้รับคำสั่ง และหากเพิ่งได้รับหมายในภายหลัง ก็ถือเป็นการนับเวลาใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ พร้อมระบุว่าศาลอาญามักให้ความเป็นธรรมกับจำเลยเป็นหลัก
ในส่วนที่เกี่ยวกับมติของแพทยสภาซึ่งลงโทษแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ นายชาญชัยกล่าวว่า ทุกองค์ประกอบสามารถเกี่ยวโยงได้ แต่สุดท้ายศาลจะวินิจฉัยจากข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงว่าการบังคับโทษที่มีพระบรมราชโองการให้จำคุกหนึ่งปีนั้น มีการปฏิบัติจริงหรือไม่
นายชาญชัย ระบุด้วยว่า ศาลจะไม่ย้อนพิจารณาคดีเดิม แต่จะพิจารณาเฉพาะประเด็นว่า มีการจำคุกจริงตามคำพิพากษาหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากหลักฐาน เช่น เวชระเบียน ใบเสร็จ หรือหลักฐานการรักษาพยาบาล เพื่อยืนยันความชอบด้วยกฎหมายของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ
นายชาญชัย ยังกล่าวถึงประเด็นที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเลื่อนนัดไต่สวนออกไปว่า ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งตนไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะขณะนี้ยังอยู่ระหว่างกระบวนการไต่สวน และศาลก็ยังไม่ได้อนุญาตให้เปิดเผยรายละเอียดคำร้องที่ตนยื่นไว้ โดยตนมาในวันนี้เพื่อรับฟัง และเตรียมความพร้อม หากศาลเปิดโอกาสให้เพิ่มเติมข้อมูลก็พร้อมที่จะยื่นเอกสารเพิ่มเติม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีประชาชนจำนวนมากติดตามคดีนี้ และอยากทราบว่าอยากฝากอะไรถึงประชาชนหรือไม่ นายชาญชัย ระบุว่า ขณะนี้ศาลอยู่ในระหว่างพิจารณาหาข้อเท็จจริง โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และตั้งแต่ศาลรับคำร้องของตน ก็เปรียบเสมือนศาลเป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนและมีหน้าที่ตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดว่าถูกต้องหรือไม่
นายชาญชัย อธิบายเพิ่มเติมว่า ศาลได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอัยการ สำนักงาน ป.ป.ช. หรือราชทัณฑ์ เข้ามาชี้แจงว่าในกระบวนการที่ผ่านมามีความผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นว่า “นายทักษิณ” ได้รับการบังคับโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เช่น การถูกคุมขังจริงหรือไม่ ระยะเวลารักษาพยาบาลนอกเรือนจำมากกว่า 80 วันนั้น มีหลักฐานทางการแพทย์รองรับหรือไม่
นายชาญชัย ย้ำว่า ศาลไม่ได้กล่าวหาใคร แต่เป็นการไต่สวนเพื่อค้นหาความจริง และศาลมีอำนาจเรียกพยานหรือผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมหากเห็นว่าจำเป็น โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้กระบวนการไต่สวนตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การตรวจสอบบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นไปโดยรอบคอบและยุติธรรม
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า การบังคับคดีนั้นมีบางฝ่ายที่พยายามบอกว่าการบังคับคดีเป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์แต่เพียงฝ่ายเดียวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะการบังคับคดีนั้นมีการคาบเกี่ยวระหว่างกรมราชทัณฑ์เรือนจำและศาลที่ยังมีอำนาจอยู่ ที่ต้องขอติดตามว่าการบังคับคดีนั้นทำได้ถูกต้องหรือไม่ เมื่อ นายชาญชัย เห็นว่า การบังคับคดีนั้นยังไม่ถูกต้องจึงมาร้องตามข้อบังคับที่ 62 ของข้อบังคับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าบุคคลใดที่พบเห็นว่ามีการกระทำผิดระหว่างบังคับคดีสามารถร้องต่อศาลได้
นพ.ตุลย์ แจงว่าการบังคับคดีไม่ใช่เพียงแค่ของกรมราชทัณฑ์ฝ่ายเดียวเพราะศาลก็ยังมีอำนาจ ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 ที่ไหนทักษิณได้เปลี่ยนสถานที่จากเรือนจำไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจโดยมีความเห็นของแพทย์ที่ราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจให้อยู่ตลอด 180 วันนั้นตนมองว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อาจจะมีส่วนสำคัญถ้าศาลจะเห็นว่าการบังคับคดียังไม่เกิดขึ้นแม้แต่วันเดียว ซึ่งอาจจะมีผลต่อการพิจารณาว่าการบังคับคดีได้เกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ส่วนการพักโทษภายหลังจากรักษาตัวไป 180 วันนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ เพราะหากศาลพิจารณาเห็นว่าไม่ถูกต้องทั้งสองส่วนก็อาจจะทำให้ นายทักษิณกลับมาสู่เรือนจำตามพระบรมราชโองการลดโทษเหลือหนึ่งปี
ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เผยว่า คดีนี้เป็นคดีที่จะดำเนินการไต่สวนเพื่อบังคับคดีคือมีเหตุกรณีว่าศาลมีการพิพากษาจำคุกไปแล้วนั้นมีการบังคับโทษให้จำคุกจริงหรือไม่ วันนี้จะมีการไต่สวนหรือไม่นั้นก็ต้องดูบุคคลที่ศาลให้ออกคำชี้แจงมาซึ่งจะมีกรมราชทัณฑ์ราชธาน โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง (ปปช.) และนายทักษิณ ซึ่งแต่ละคนต้องส่งเอกสารเข้ามาและตัวบุคคลก็ต้องมา ซึ่งที่ศาลนัดในวันนี้เป็นสองเรื่องคือการไต่สวนและนัดพร้อมถ้าหากว่ามีพยานมาแล้วและเห็นควรว่าจะไต่สวนก็ควรมีพยานมาซึ่งประเด็นของคดีอยู่แค่ตรงส่วนนี้ ส่วนหากพบว่าการบังคับโทษยังไม่ถูกต้องและเป็นไปตามกฏหมายและใครเป็นผู้กระทำบ้างอันนั้นนั้นศาลจะลงในรายละเอียดเอาไว้และจะดำเนินคดีกันอีกส่วนหนึ่งศาลคงจะทำให้เกิดความกระจ่างและเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อไม่ให้มีข้อสงสัยและให้เวลากัยลูกความตามกฎหมายอย่างเต็มที่
นายนิติธร ยังกล่าวอีกว่า เมื่อศาลใช้ระบบไต่สวนนั้นตนก็เข้าใจว่าศาลคงรวบรวมพยานหลักฐานไปแล้วแต่ส่วนหนึ่งหากศาลเห็นว่าอันนี้เป็นเอกสารสำคัญก็อาจจะออกหมายเรียกให้แพทยสภาส่งมาซึ่งทั้งหมดเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหมดเพราะทุกฝ่ายที่ทำงานนั้นมาจากรปัญหาเดียวกันคือการบังคับโทษของนายทักษิณ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็จะถูกเรียกเอกสารมาที่ศาล
เมื่อถามว่า ทิศทางนั้นจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นที่นายทักษิณถึงไทยเลยหรือไม่ นายนิติธร เผยว่า ประเด็นอยู่ที่การบังคับโทษว่ามีการบังคับโทษหรือไม่ถ้าหากราชธานบอกว่าบังคับโทษไปแล้วนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แต่ในขณะเดียวกันมีประเด็นปัญหาว่าประกาศคำสั่งระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายบางเรื่องที่ออกมานั้นอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายอาญาเพราะหลักนี้ใช้พรบ.ราชทัณฑ์ แต่ว่ามาตรา หก ของ พรบมาตรฐานนั้นบอกว่าที่ผ่านมาทุกเรื่องที่ต่อจากนี้ก็อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญา ถ้าการบังคับโทษไม่เกิดขึ้นก็ต้องมีการบังคับโทษ ส่วนแต่ละฝ่ายที่ไม่ได้บังคับโทษให้เป็นไปตามกฏหมายนั้นก็ต้องว่ากันอีกทีนึง
เมื่อถามย้ำว่า หากความจริงของคดีนี้กระจ่างขึ้นมาส่งผลมากน้อยแค่ไหนต่อรัฐบาล นายนิติธร มองว่า รัฐบาลมีส่วนร่วมให้เกิดแบบนี้ขึ้นเพราะตัวนายกรัฐมนตรีจะต้องมีส่วนในการบังคับคดีและการบริหารกระบวนการยุติธรรมซึ่งต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่ถูกต้องหรือไม่ ส่วนรัฐมนตรีทุกคน ตั้งแต่อดีตนายกเศรษฐา มาจนถึงนางสาวแพทองธาร ทุกคนเพิกเฉยหมดซึ่งคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานและย้อนกลับไปถึงกรณีที่มีการพักโทษ.-314.-สำนักข่าวไทย