“วิโรจน์” ขอ ปชช. ดึงสติ หลังมีกระแสเรียกร้องรัฐประหาร

รัฐสภา​ 9 มิ.ย. – “วิโรจน์” ลั่น เร็วไปเรียกสถานการณ์คลี่คลาย รับมาตรการจูงใจกลับสู่โต๊ะเจรจาได้ผล ถาม “กัมพูชา” มีความชอบธรรมอะไรเอาเรื่องขึ้นศาลโลก เรียกร้องให้เคารพ MOU43 หลังกัมพูชาเข้าข่ายละเมิด ขอ ปชช. ดึงสติกลับมา หลังมีกระแสเรียกร้องรัฐประหาร ชี้ “ภูมิธรรม” ขอบคุณกัมพูชา เป็นมารยาททางการทูต


นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ที่ดูเหมือนจะคลี่คลายลงแล้ว ว่า เร็วเกินไปที่จะเรียกว่าคลี่คลาย แต่เรียกว่ากลับไปสู่สถานการณ์ที่เริ่มจะมีแนวทางในการเจรจาเป็นเหตุเป็นผลได้ แสดงว่ามาตรการในการจูงใจให้กัมพูชากลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งถือว่าได้ประสิทธิผลตามสมควร

เมื่อถามว่าทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาอยากให้ประเทศไทยขึ้นศาลโลกอยู่นั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า การคลี่คลายข้อพิพาทหรือความขัดแย้งของประเทศที่มีพรมแดนติดกัน ตนคิดว่าการหารือจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งสองประเทศมากกว่า และหากวิเคราะห์จริง ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากฝั่งไทยที่มีข้อเสนอใหม่ หรือเรียกร้องอะไรที่แตกต่างไปจาก MOU 2543 แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่ดำเนินการเข้าข่ายละเมิด MOU 2543 ที่ตกลงร่วมกัน


“ต้องยืนยันว่ากัมพูชาจะมีความชอบธรรมอะไร ที่จะนำเอาข้อพิพาทนี้ไปสู่การคลี่คลายในเวทีอื่น เพราะว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิด MOU 43 และข้อเรียกร้องจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมเลย เราเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพ MOU 43 เราและเขาได้ลงนามร่วมกันโดยสมัครใจ ดังนั้นเราต้องมองสถานการณ์ให้ออก” นายวิโรจน์กล่าว

ส่วนจะมีเรื่องการเมืองในประเทศเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนคิดว่าคงจะมีทั้งการเมืองในประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ และไม่ละทิ้งประเด็นที่เกี่ยวพันกับประเทศมหาอำนาจด้วยแต่เรื่องนี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แล้วต้องระมัดระวังในการให้ความเห็นแต่ต้องผูกทั้ง 3 เรื่องเข้าด้วยกัน

นายวิโรจน์ ระบุว่า อาจจะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมา อย่างเช่นตอนนี้บางคนเรียกว่ามาตรการกดดัน แต่ตนขอเรียกว่ามาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้กัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาดีกว่า ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีมาตรการในระยะยาวได้ หรือจนกว่ากัมพูชาจะกลับเข้ามาเจรจาในกรอบ MOU 2543 ดังนั้นตนคิดว่ารัฐบาลต้องเตรียมอนุมัติกรอบงบประมาณ หรือ งบกลาง ที่จะมาสนับสนุนให้ผู้ประกอบการปรับตัวหรือนำมาชดเชยเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ย้ำว่ารัฐบาล ต้องยืนระยะมาตรการกดดันต่าง ๆเหล่านี้ให้ได้และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการตลอดไป ตราบใดที่ทางกัมพูชายังไม่เจรจา


เมื่อถามว่าทางสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อถกปัญหานี้เป็นอย่างไรบ้างนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ ซึ่งตนก็เคยเสนออยู่แล้ว ไม่ว่าจะในสภาผู้แทนราษฎรหรือประชุมร่วมกันของทั้ง 2 สภาก็ยินดี รัฐบาลก็จะได้มีข้อเสนอแนะแนวทางที่เป็นเอกภาพมากขึ้น เป็นความร่วมมือกันระหว่างอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

ส่วนมองอย่างไรที่ขณะนี้มีกระแสในโลกโซเชียลที่ออกมาเรียกร้องให้มีการรัฐประหารนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องย้ำว่าการคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสิ่งสำคัญที่สุดคือความชอบธรรมและเป็นความชอบธรรมในเวทีโลกที่ประเทศของเราสามารถอธิบายกับนานาอารยประเทศได้

“ดังนั้นหากเราทำลายประชาธิปไตยด้วยน้ำมือของเราเอง แล้วได้รัฐบาลใหม่ที่ได้จากการฉกฉวยโอกาสทำรัฐประหาร ซึ่งรัฐบาลเช่นนั้นจะไม่มีที่ยืนบนเวทีโลกเลย ไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ในการไปเจรจากับมิตรประเทศหรือประเทศอื่น ๆ เลย และจะเป็นรัฐบาลที่ไม่มีใครในโลกยอมรับก็จะเข้าทางฝั่งกัมพูชาหรือสิ่งที่ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต้องการทันที” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งที่ สมเด็จฯ ฮุน เซน และ พลเอกฮุน มาเนต ต้องการคืออะไร ต้องการทำลายความชอบธรรมของประเทศไทยในศาลโลก ในเวทีโลก ฉะนั้นเราต้องดึงสติกลับมา เพราะกัมพูชาเขาเป็นคนละเมิด MOU 43 ซึ่งเป็นเสมือนข้อตกลงที่ทำร่วมกันไว้ระหว่างไทยและกัมพูชา และหากคิดแบบเป็นกลางข้อตกลงนี้ไทยและกัมพูชาทำร่วมกันโดยความสมัครใจ ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดแต่อย่างใด ที่ผ่านมาก็ดำเนินการตาม MOU 43 ไปได้ด้วยดี ความผาสุก ความเป็นอยู่ การอยู่ดีกินดี และการค้าการขายระหว่างประชาชนที่อยู่ในแนวพรมแดนของทั้งสองฝ่ายก็พัฒนาไปตามลำดับไม่ได้มีปัญหา

นายวิโรจน์ ระบุว่า วันนี้เราต้องยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด MOU 43 และกลับท้าทายที่จะไปขึ้นศาลโลกอย่างนี้ จริง ๆ แล้วตนเองคิดว่าความชอบธรรมในการดำเนินการเช่นนั้นของฝั่งรัฐบาลกัมพูชานั้นไม่มีเลย ดังนั้นตนเองขอยืนยันว่าเราต้องดำรงความชอบธรรมย้ำว่าการอดทนอดกลั้นและแสวงสันติวิธีในการคลี่คลายข้อพิพาทถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่เราจะต้องทำคือ ดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรมของประเทศไทยด้วยในขณะเดียวกันก็ต้องดำเนินมาตรการอื่น ๆ ควบคู่เพื่อจูงใจให้รัฐบาลกัมพูชาเข้าใจถึงสถานการณ์และยินดีที่จะมาร่วมโต๊ะเจรจาภายใต้เงื่อนไขที่สมเหตุสมผล และการหยิบยื่นข้อเสนอที่มันเป็นจริงได้

ซึ่งเราต้องยืนยันว่าประเทศไทยของเรายังไม่มีข้อเรียกร้องอะไรใหม่ ๆ ประเทศไทยไม่มีข้อเสนออะไรที่กัมพูชารับไม่ได้เรายังยืนยันเหมือนเดิมว่ากลับมาที่ MOU 43 ที่ทั้งสองประเทศ ได้ลงนามร่วมกันด้วยความสมัครใจ

“ผมคิดว่าเราต้องดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรมของประเทศไทยตรงนี้และอย่าถูกแรงยั่วยุ ท้าทายแล้วใช้กำลังโดยไม่จำเป็น ใช้กำลัง และใช้การปะทะโดยไม่เข้าเงื่อนไขที่เรากำหนดเอาไว้ ซึ่งฝั่งสมเด็จฯ ฮุน เซน และ พลเอกฮุน มาเนต ก็จะหยิบยกเพื่อบั่นทอนความชอบธรรมของเรา” นายวิโรจน์ กล่าว

วันนี้ตนเองอยากให้รัฐบาลสื่อสารให้ชัดสื่อสารทั้งกับคนไทยทั้งชาวกัมพูชาทั้งชาวโลกและชาวอาเซียนให้รู้ว่าประเทศไทยเราไม่ได้เรียกร้องอะไรใหม่ใหม่ไม่ได้หยิบยื่นข้อเสนออะไรที่กัมพูชารับไม่ได้เราเพียงแต่ยึดมั่นใน MOU 43 ที่ทั้งสองประเทศได้ตกลงร่วมกันและสถานการณ์ปัจจุบันนี้เป็นฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาต่างหากที่ละเมิดข้อตกลง MOU 43

อย่างไรก็ตามตนเองเชื่อว่ารัฐบาล จนวินาทีนี้ก็เดินเกมได้เข้าร่องเข้ารอยแต่ต้องเดินเกมได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่ใช้กฎอัยการศึกเพียงอย่างเดียว เพราะกองทัพก็จะมีอำนาจเฉพาะเรื่องความมั่นคงและควบคุมพื้นที่ แต่การอนุมัติงบประมาณการกำหนดมาตรการทางการคลังการกำหนดมาตรการทางการทูตที่ต้องทำควบคู่กันนั้นกฎอัยการศึกไม่ได้ให้อำนาจกับกองทัพดังนั้น วันนี้ตนเองคิดว่านายกรัฐมนตรีต้อง จะต้องเร่งอนุมัติงบกลางเพื่อเข้ามาชดเชยเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการในแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบได้แล้วเพื่อให้มาตรการดังกล่าวสามารถทำให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวได้ และยืนระยะที่จะกดดันอย่างนั้นได้อย่างต่อเนื่องและตลอดไปตราบใดก็ตามที่ฝั่งรัฐบาลกัมพูชายังคงไม่เคารพ MOU 2543

สำหรับการสื่อสารที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ใช้คำขอบคุณรัฐบาลกัมพูชา ตรงนี้สะท้อนนัยยอะไรหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในเรื่องของการรักษามารยาททางการทูต ซึ่งตนเองคิดว่าเรารับได้ ที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่าประชาชนไทยจะไปจับจ้องอริยาบท จะไปจับจ้องคำพูดของนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี แต่เหตุผลเพราะประชาชนไม่เห็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นเอง

ซึ่งหากมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมาต่อเนื่องที่สามารถกดดันหรือสร้างแรงกดดันให้กัมพูชาก้าวมาสู่โต๊ะเจรจาอย่างสมเหตุสมผลคิดว่าประชาชนจะเข้าใจพิธีการที่ต้องทำอย่างเป็นทางการ ก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องรักษามารยาททางการทูต คิดว่าอย่าไปจับจ้องจับผิดอย่างนั้นเลย ดูที่มาตรการ ที่เป็นทางการและผลสัมฤทธิ์ของมัน เชื่อว่าตอนนี้กำลังเดินเข้าไปสู่เส้นทางที่ ทำให้เราบรรลุถึงผลได้ และวันนี้สังคมไทย ต้องดึงเข้ามาสู่จุดที่ว่าเราต้องการบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด.-319​ -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.เรือนจำทักษิณป่วย ไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน  

13 มิ.ย. – ศาลฎีกาฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ “ทักษิณ” เข้ารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นัดไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด เดือน ก.ค.68 ด้าน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ยอมรับไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนคดีชั้น 14 ในเรื่องการบังคับคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ล่าสุดการไต่สวนนัดแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลได้สอบถาม นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบัน เกี่ยวกับกระบวนการในการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งนายทักษิณ มีอาการแน่นหน้าอก นอนไม่หลับ พยาบาลเวรตรวจอาการแล้ว ถึงโทรไปหาแพทย์ และมีความเห็นให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน และอาการก็ตรงกลับใบส่งตัวที่แพทย์เขียนไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้เข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน จากนั้นศาลได้นัดไต่สวน 6 นัด ในเดือนกรกฎาคม 2568 และใน […]

เครื่องบินแอร์อินเดีย ตกใส่อาคารที่พักแพทย์ ตาย 241 รอดคนเดียว

นิวเดลี 13 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประสบอุบัติเหตุตกใส่อาคารในย่านชุมชนทางตะวันตกของประเทศ มีผู้เสียชีวิต 241 ราย รอดชีวิตปาฏิหาริย์เพียงคนเดียว ยังไม่มีการยืนยันว่ามีคนในอาคารบ้านเรือนเสียชีวิตเท่าไร เครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลน์เนอร์ ของสายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบิน เอไอ171 (AI171) พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประกอบด้วยผู้โดยสาร 230 คน และลูกเรือ 12 คน เพิ่งจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดียเมื่อเวลา 13.34 น. วานนี้ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานแกตวิค กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คนบนเครื่องบินเป็นชาวอินเดีย 169 คน และมีพลเมืองอังกฤษ 53 คน โปรตุเกส 7 คน และแคนาดา 1 คน คลิปที่ผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ในอินเดียส่งต่อกันแพร่หลาย เผยให้เห็นช่วงเวลาขณะที่เครื่องบินโดยสารลำนี้เครื่องบินค่อยๆ […]

แพทยสภายืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย

กทม. 12 มิ.ย.- แพทยสภามีมติ 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย ปมส่งตัว “ทักษิณ” รักษาชั้น 14 รพ.ตร. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เปิดเผยหลังการประชุมการลงมติแพทยสภากว่า 5 ชม. ว่า กรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ประจำเดือนมิถุนายน คือวันนี้ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาหนังสือยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษ วาระนี้มีคณะกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการฯ ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งคณะ ซึ่งมีคะแนนโหวตมากกว่า 60 เสียง ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ คาดว่าคำสั่งจะออกได้ในวันพรุ่งนี้ และจะมีผลการลงโทษหลังจากคำสั่งไปยังผู้ถูกร้องเรียน ทั้งนี้ […]

“ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน

ฉะเชิงเทรา 12 มิ.ย. – “ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน จ.ฉะเชิงเทรา พบกองขยะอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนเครื่องยนต์นำเข้ากองเต็มพื้นที่ ฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานฯ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าทีมสุดซอย พร้อมเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด และตำรวจสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลใน อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการขยายผลจากข้อมูลที่ผู้ใหญ่บ้าน ต.เขาหินซ้อน อ้างว่ามีบริษัทคัดแยกขยะอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้นำดินไปแจกฟรี แต่กลับพบว่าเป็นขยะอุตสาหกรรม จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทแห่งนี้จะรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษสายไฟ วัสดุแบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านบริษัทแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง โดยบริษัทดังกล่าวรับซื้อเศษขยะมาจากญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ก่อนส่งมาที่โรงงานรีไซเคิลในไทยให้คัดแยก แต่สำแดงเป็นโลหะผสม (Mixed metal) และมีการเสียภาษีต่อเที่ยวตามน้ำหนัก รวมแล้วประมาณ 33,000 บาท การคัดแยกขยะจะใช้แรงงานต่างด้าวคัดแยกเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดงออก โดยในส่วนของเหล็ก จะส่งโรงเหล็กในประเทศ สำหรับอะลูมิเนียมกับทองแดง จะส่งกลับไปฮ่องกง เพื่อขายต่อ โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นเศษโลหะ อีกทั้งยังมีกองขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปใช้งานต่อได้จำนวนมากถูกทิ้งไว้ในประเทศ โรงงานดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2558 แต่ก่อนหน้านี้พบว่ามีการขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดเก็บวัสดุไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน คือกองอยู่ลานโล่งด้านนอกอาคาร ปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบกิจการ และการปล่อยน้ำเสีย […]

ข่าวแนะนำ

ประชุม JBC วันแรกเป็นไปด้วยดี สองฝ่ายหารือตรงไปตรงมา

14 มิ.ย.- โฆษก กต. เผยการประชุม JBC “ไทย-กัมพูชา” บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ทั้งสองฝ่ายหารือกันอย่างตรงไปตรงมา พร้อมย้ำไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก สำหรับการประชุมจะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา หรือ JBC ครั้งที่ 6 ว่าตั้งแต่เมื่อเช้า หลังจากคณะผู้แทนไทยฯ ที่นำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เดินทางถึงกรุงพนมเปญเมื่อวานนี้ ได้รับรายงานความคืบหน้ามาเป็นระยะ และเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้เรียกประชุมผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ขอให้เรียกประชุมและรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ เพื่อจะได้มีข้อสั่งการ นายนิกรเดช กล่าวว่า การประชุมเริ่มจากที่พบหารือระหว่างสองประธานไทย-กัมพูชา กลุ่มเล็ก จากนั้นได้เริ่มการประชุม JBC เต็มคณะ เพื่อหารือประเด็นทางเทคนิค ที่อยู่ในขอบเขตการทำงานของ JBC เช่นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสำรวจภูมิประเทศ ขณะนี้การประชุมก็ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งช่วงบ่ายก็จะเป็นการหารือตามระเบียบวาระที่วางไว้ เช่นการพูดคุยด้านเทคนิค และคาดว่าจะมีการประชุมไปจนถึงวันพรุ่งนี้ บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี และทั้งสองฝ่ายกำลังเดินหน้าหารือกันตามวาระ ถือว่าการประชุมเป็นไปด้วยดี ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าคุย และปรับความคิดหากันด้วยดี ฝ่ายไทยหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะมีส่วนช่วยลดความ ตึงเครียดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น […]

ประชุม JBC “ไทย-กัมพูชา” ยึด MOU43 แก้ปมชายแดน-ลดตึงเครียด

14 มิ.ย.- “ไทย-กัมพูชา” แถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC เจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกัน และการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบ MOU43 นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เป็นประธานการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) ร่วมกับนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายกล่าวถ้อยแถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในการเจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกันและการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 43) เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชายแดนและลดความตึงเครียดที่มีอยู่ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กรมแผนที่ทหาร กองทัพบก กองทัพเรือ สำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา (เทียบเท่ากระทรวง) กระทรวงกลาโหมกัมพูชา กองทัพภาคต่าง ๆ ของกัมพูชา รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาของกัมพูชาทุกจังหวัด -สำนักข่าวไทย

Cambodia and Thailand hold a closed-door meeting ahead of the official meeting of JBC in Phnom Penh

ไทย-กัมพูชา หารือกลุ่มเล็กก่อนประชุม JBC

พนมเปญ 14 มิ.ย. – สื่อกัมพูชารายงานว่า กัมพูชาและไทย ได้เปิดการหารือกลุ่มเล็กฝ่ายละ 5 คน ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (JBC) ที่กรุงพนมเปญ ในวันนี้ เว็บไซต์แขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานว่า ในการหารือกลุ่มเล็กที่มีผู้ร่วมเข้าเพียง 10 คน ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายเจีย ฬำ  รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ส่วนฝ่ายไทยนำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศด้านกิจการชายแดน ซึ่งเป็นนักการทูตผู้เชี่ยวชาญช่วงข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร พร้อมกับเผยแพร่ภาพชุดการหารือดังกล่าว.-814.-สำนักข่าวไทย

รวบแล้ว! โจรชิงทองที่ลำพูน หนีกบดานพัทยา

พัทยา 14 มิ.ย.- หนีไม่รอด! รวบโจรบุกเดี่ยวชิงทอง จ.ลำพูน หนีกบดานพัทยา สารภาพติดการพนันออนไลน์ จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เกิดเหตุคนร้ายรูปร่างสูงประมาณ 160-165 ซม. ทราบชื่อต่อมาคือ นายประกร อายุ 47 ปี ขี่รถจักรยานยนต์สีดำ บุกเดี่ยวเข้าไปชิงทองคำรูปพรรณ จากห้างทองฯ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 5 บาท ไปจำนวน 2 เส้น มูลค่ากว่า 500,000 บาท แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดตำรวจ สภ.จว.ชลบุรี ได้เบาะแสว่า นายประกร ที่มีหมายจับศาลจังหวัดลำพูน ในข้อหากระทำความผิดฐาน “วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” หลังก่อเหตุได้หนีมากบดานในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จึงนำกำลังออกติดตาม กระทั่งพบตัวนายประกร อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านพัทยากลาง เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าจับกุม เจ้าตัวให้การยอมรับ เป็นผู้ก่อเหตุวิ่งราวทองจากห้างทองในพื้นที่จังหวัดลำพูนจริง หลังก่อเหตุได้หนีมายังพื้นที่เมืองพัทยาและนำทองไปขายในห้างทองแห่งหนึ่ง ตอนแรก คิดว่าจะเดินทางเข้ามาตัว แต่ก็สายไปเนื่องจากมาโดนเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้เสียก่อน ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุลงไปนั้นเนื่องจากตนเองติดการพนันออนไลน์ จนเงินหมด […]