กมธ.มั่นคงฯ ฝาก กห. ตั้งรับ-มีมาตรการเชิงรุก ตอบโต้กัมพูชาขึ้นศาลโลก

รัฐสภา 12 มิ.ย.- กมธ.ความมั่นคงฯ แนะ รัฐบาลเพิ่มมาตรการปราบคอลเซ็นเตอร์ ตัดท่อน้ำเลี้ยง เพิ่มน้ำหนักเจรจา JBC ฝากกลาโหม ตั้งรับและมีมาตรการเชิงรุก ตอบโต้กัมพูชาขึ้นศาลโลก


นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า มีข้อมูลหลายอย่างที่ได้รับผ่านการประชุม ซึ่งวันนี้เป็นการประชุมลับและได้รับความร่วมมือจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี แต่อาจขาดกระทรวงต่างประเทศไป เนื่องจากติดภารกิจ เรื่องการเตรียมความพร้อมในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ซึ่งมีการพูดคุยถึงการเตรียมความพร้อมในทุกมิติและทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ เบื้องต้นเราเห็นพ้องต้องกันในหลาย ๆ เรื่องถึงยุทธศาสตร์และวิธีการไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของคอลเซ็นเตอร์ โดยทางกรรมาธิการได้ให้ข้อเสนอว่ารัฐบาลสมควรเพิ่มมิติในการปราบปรามแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาของฝั่งไทย แต่อีกส่วนก็เป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญที่หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเศรษฐกิจของกัมพูชา และยังเป็นการสร้างแต้มต่อที่สำคัญให้กับฝ่ายไทย หากมีการรุกในเรื่องนี้การเจรจาจะมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามเน้นย้ำกับทางผู้แทนของรัฐบาล

นายรังสิมันต์ ระบุว่า เนื่องจากกัมพูชาพยายามยกระดับความขัดแย้งไปสู่การใช้กลไกของศาลโลกอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเสนอแนะต่อทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่ามีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเรื่องนี้และไม่สามารถประมาทได้ในทุกมิติ ประเทศไทยหลังจากมีประเด็นเขาพระวิหาร ก็ได้มีการถอนตัวในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะวางใจได้ เพราะทางกัมพูชาเองมีการเตรียมความพร้อมมานานแล้วในการขึ้นศาลโลก มีการว่าจ้างทีมกฎหมายจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงต้องเตรียมความพร้อม ทั้งนักกฎหมายระหว่างประเทศ ไปจนถึงกลไก ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ เราเชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาจะเอาทุกกระบวนการไปใช้ประโยชน์ในศาลโลกแน่นอน ประเทศไทยเองต้องมีการเตรียมทั้งตั้งรับและทางเชิงรุกซึ่งเป็นเรื่องที่กรรมาธิการได้แนะนำไปกับทางรัฐบาลให้ดำเนินการ


นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ได้หารือในกรรมาธิการ คือ เรื่องหลุมหลบภัยหรือบังเกอร์ต้องยอมรับว่ากัมพูชาได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากกว่าเดิม มีศักยภาพมากกว่าเดิม ระยะยิงไกลกว่าเดิม แม้เราจะเชื่อมั่นในศักยภาพของฝ่ายเรา แต่การเตรียมการของประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญทางกรรมาธิการก็ได้ให้คำแนะนำจากตัวแทนของรัฐบาลว่า เรื่องนี้ต้องสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน การเจรจา JBC ที่จะเกิดวันที่ 14 มิ.ย. นี้ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากทางฝั่งกัมพูชาต้องการสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งมากขึ้น สุดท้ายหากมีการขัดกันทางอาวุธประชาชนจะเดือดร้อนแน่นอน และระยะยิงที่อาจไกลกว่า 100 กิโลเมตร ประชาชนอาจจะต้องหลบภัยกว่า 2-3 อำเภอ ด้วยเหตุผลตรงนี้จึงมีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีซึ่งมีงบกลางในการดำเนินการแก้ไขปัญหา มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการเร่งสร้างหลุมหลบภัยให้เพียงพอต่อความต้องการ และให้ตอบโจทย์กับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าวันที่ 14 จะจบอย่างไร แต่สิ่งที่เริ่มเตรียมการได้ตั้งแต่วันนี้คือการทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยปลอดภัยที่สุด จึงอยากฝาก รัฐบาลอีกครั้งว่าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของหลุมหลบภัย และในเรื่องของงบประมาณ นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการในเรื่องนี้เชื่อว่าเงินงบประมาณในส่วนของงบกลางมีในการดำเนินการเอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ภาพรวมทั้งหมดเริ่มเห็นการตั้งหลักของการใช้กลไกอย่างสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในการประชุมและพูดคุยกัน แต่สิ่งที่ต้องคุยกันต่อไป คือความขัดแย้งนี้มีโอกาสลุกลามบานปลายจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างละเอียดและวางมารการเป็นขั้นตอน วันนี้เท่าที่คุยก็พอเห็นภาพของรัฐบาลที่เตรียมไว้ และยังต้องติดตามกันต่อไปโดยเฉพาะวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ทางกรรมการเองก็จะติดตามอย่างใกล้ชิดและพูดคุยกับทางรัฐบาลต่อไป และพร้อมที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล

ส่วนมีโอกาสจะเลื่อนหรือยกเลิกการประชุม JBC หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทางกัมพูชาจะไม่เอาเรื่องที่มีความขัดแย้งอย่างทั้ง 3 ปราสาท และพื้นที่ช่องบกมาพูดคุย แต่ทางประเทศไทย คิดว่าอย่างไรก็ต้องคุยไม่เช่นนั้นจะหาทางออกไม่ได้ เราก็ต้องใช้กลไกทวิภาคีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย การไปสู่ศาลโลกสุดท้ายเราก็มีบทเรียนในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ว่าไม่จบจริงและจะทำให้ความขัดแย้งขยายตัว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องใช้กลไกทวิภาคีและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ หากทางกัมพูชาไม่ใช้กลไกทวิภาคีแบบนี้สุดท้ายกัมพูชาจะตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งความจริงไม่จำเป็นต้องพูดคุยเฉพาะแค่ 3 ประสาทในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายจุดเพื่อนำไปสู่การทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเกิดการขัดกันทางอาวุธหรือลดโอกาสขัดกันทางอาวุธออกไปให้ได้มากที่สุดซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องทำ


นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังค่อนข้างมาก วันนี้เราต้องชื่นชมพลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 ว่ามีส่วนสำคัญในการพูดคุยและทำให้บรรยากาศที่ร้อนแรงลดลงไป แต่ต้องยอมรับว่ายังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะในการลดความร้อนแรง และเงื่อนไขทางทหารไม่ใช่ทุกอย่าง สิ่งสำคัญวันนี้คือกัมพูชาต้องการยกระดับไปสู่ศาลโลก แล้วคิดว่าสามารถใช้กลไกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย้ำว่าประเทศไทยต้องทำงานแบบทวิภาคีต้องวางไพ่ในแต่ละใบให้ได้มากที่สุด ตนไม่สามารถพูดได้ทั้งหมดแต่คิดว่าวันนี้ต้องช่วยกันสนับสนุน โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติหน้างานและฝ่ายนโยบายที่ทำให้เกิดความเป็นเอกภาพและแก้ไขปัญหาวิกฤตนี้ให้ได้

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในวันที่ 26 มิถุนายน ทางกรรมาธิการจะมีการประชุมเรื่องนี้ต่อ ในส่วนของการเตรียมการเรื่องศาลโลก เราต้องเตรียมการ ต้องทำให้เกิดความรอบคอบมากที่สุดทางกรรมาธิการจะประชุมเรื่องนี้ต่อไป และอาจจะมีการหารือต่อไปว่าจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมในการพูดคุยและนำไปสู่การเจรจาอย่างทวิภาคีจริง ๆ และยังต้องติดตามเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย และแน่นอนว่าจะมีการเชิญกระทรวงต่างประเทศ รวมถึงนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายระหว่างประเทศมาร่วมประชุม.-315 – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบกสดุดีทหารกล้า จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ ขอพระราชทานยศทหารเลื่อนขั้นอย่างสมเกียรติ วันที่ 30 ก.ค. 68 กองทัพบกร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและส่วนราชราชการพื้นที่ จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพทหารกล้าที่สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ จากเหตุการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยใน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้คณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก ร่วมเป็นเกียรติในพิธีพระราชทานเพลิงศพของทหารหาญ จำนวน 4 นาย ดังนี้ 1.ส.อ.จิรายุ สิงห์อ้น ตำแหน่งพลลาดตระเวน กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 (ร้อย ลว.ไกล 6) กองพลทหารราบที่ 6 ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ (25 ก.ค.68) ณ วัดตลาดราชมงคล อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด โดยมี พล.อ. ณัฐวุฒิ นาคะนคร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีพระราชเพลิงศพ โดยกองทัพบกได้ดำเนินการปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศทหารเป็นร้อยโท […]

ทบ.ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบก ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน ประชาคมโลกต้องเห็นความเสียหาย ทั้งบ้านเรือน-โรงเรียน-โรงพยาบาล เร็วๆ นี้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ เข้าดูพื้นที่บริเวณจุดปะทะ บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีว่า จุดที่ฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงไปดูพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร บริเวณจุดที่เคยมีการปะทะกันนั้น เป็นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี จึงเห็นมีภาพปรากฏถึงความเสียหายที่เกิดจากการใช้อาวุธจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของพื้นที่ทางยุทธการ และบริเวณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายทางทหาร สำหรับฝ่ายไทยมีแผนจะจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน โดยฝ่ายไทยจะไม่เน้นการสร้างภาพลวงแบบฉาบฉวย แต่จะเน้นสื่อสารเชิงคุณภาพ สิ่งที่จำเป็นจะต้องสื่อถึงประชาคมโลกคือ ความเสียหายต่อบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ฝ่ายทหารกัมพูชาจงใจพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายเหล่านั้น จนมีพลเรือน ประชาชน เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ลึกไกลเข้ามาภายในประเทศไทย และห่างจากพื้นที่สู้รบเข้ามาในไทยไกลมากถึง 10-30 กิโลเมตร พล.ต.วินธัย กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย รวมถึงขัดต่อหลักปฏิบัติทางทหารตามกฎหมายสากล และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจตนาละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ที่ห้ามการโจมตีพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบ กองทัพบกไทยขอยืนยันอีกครั้งว่า เราปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเป็นหลักเท่านั้น และยึดมั่นในกติกาสากล โดยขอย้ำว่า ฝ่ายไทยไม่ได้รุกรานใคร แต่เรามีสิทธิชอบธรรมในการปกป้องประชาชนและผืนแผ่นดินของเรา.-313.-สำนักข่าวไทย

เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก

ทำเนียบ 30 ก.ค.-โฆษกรัฐบาล เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก พร้อมประณามกัมพูชาละเมิดมนุษยธรรมร้ายแรง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ประณามการกระทำของรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาอย่างรุนแรง กรณีการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายที่เป็นสถานพยาบาลของไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน พร้อมกันนี้นายจิรายุ ยังเปิดภาพโรงพยาบาลบางส่วนที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คำโปรย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โคก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซำเม็ง “ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกจับตามองและประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด โดยปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียแก่พลเรือ” โฆษกรัฐบาล ระบุ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. พบว่า จากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ได้ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 15 ราย ในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ บาดเจ็บสาหัส 12 […]

เหตุพลุระเบิด เสียชีวิตเพิ่มเป็น 10 คน

สุพรรณบุรี 30 ก.ค. – เหตุพลุระเบิด จ.สุพรรณบุรี พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ที่โรงพยาบาล รวมเสียชีวิต 10 ราย บาดเจ็บ 1 ราย สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย คืบหน้าเหตุพลุระเบิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ล่าสุด พล.ต.ต.วัชรินทร์ ประสพดี ผู้บังคับการภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิต จำนวน 10 ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 9 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ขณะนี้ได้สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงประสานชุด EOD เข้าเก็บกู้ดินปืน เนื่องจากตรวจสอบพบหลุมขนาดใหญ่สีดำจำนวน 2 หลุม และดินปืนจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังพบร่างผู้เสียชีวิต ชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนข้อมูลการตรวจสอบ พบว่าบ้านหลังนี้มีการลักลอบผลิตพลุไล่นก.-สำนักข่าวไทย