กทม. 3 มี.ค.- ผบ.ตร.ยืนยันไม่ให้ประกันตัวผู้ทำผิดคดีชุมนุม พร้อมปรับเกณฑ์อายุตำรวจควบคุมฝูงชนจาก 50 เหลือ 45 ปี หวั่นซ้ำรอยร้อยตำรวจเอกเสียชีวิตคาม็อบ
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมากองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อประชุมร่วมกับ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในการหารือการเตรียมความพร้อมการนัดชุมนุม “ม็อบอาชีวะไล่เผด็จการ” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ “รวมพลคนเสื้อแดงแนวร่วมแดงก้าวหน้า 63” ที่รังสิต ปทุมธานี เดินเท้ามายังกรมทหารราบที่ 11 วันที่ 6 มีนาคมนี้
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ (3 มี.ค.) เป็นการทบทวนและถอดบทเรียนจากการชุมนุมที่ผ่านมา ซึ่งการชุมนุมที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมีลักษณะกระจายตัว ทำให้ตำรวจต้องปรับแผนเพื่อเตรียมรับมือ ส่วนตำรวจจะใช้กำลังเท่าไหร่นั้น ต้องพิจารณาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ส่วนการชุมนุมวันเสาร์ที่ 6 มีนาคมนี้ พบว่า ผู้ชุมนุมบางกลุ่มยังไม่มีข้อสรุป ดังนั้น ตำรวจจึงติดตามและประเมินตามสถานการณ์
ส่วนมาตรการรับมือ หากกลุ่มผู้ชุมนุมก่อเหตุเผาทำลายสถานที่สำคัญ ทำลายทรัพย์สินส่วนราชการ หรือแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจก็จะไล่ดำเนินคดีให้ครบทุกราย แต่ส่วนตัวเชื่อว่า การจับกุมดำเนินคดีไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมืองได้
ส่วนกรณีที่ตำรวจถูกตั้งข้อสงสัยว่า การจับกุมแกนนำและไม่ให้ประกันตัวนั้น ยืนยันว่าในชั้นพนักงานสอบสวน ตำรวจไม่ให้ประกันตัวอยู่แล้ว และความผิดเกิดขึ้นในเฉพาะบุคคล ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจและดุลพินิจของศาล โดยตำรวจไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ ยืนยันตำรวจทำตามหน้าที่ ไม่ได้กลั่นแกล้ง ส่วนการจับกุมนายไชยอมร หรือ แอมมี่ เป็นไปตามขั้นตอน และตำรวจมีหลักฐานชัดเจน
ส่วนกรณีที่มีร้อยตำรวจเอกเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในการชุมนุม เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์นั้น ได้สั่งการให้ปรับมาตรการคัดกรองโรคกลุ่มเสี่ยง สำหรับผู้ที่จะมาทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน จากเดิมที่กำหนดเกณฑ์อายุ 50 ปีขึ้นไป ปรับลดเหลือ 45 ปีขึ้นไป พร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาให้เข้มงวดเรื่องตรวจสุขภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะมาปฎิบัติหน้าที่ในทุกระดับชั้น ส่วนการสูญเสียที่เกิดขึ้น ยืนยันตำรวจไม่ได้เสียขวัญ แต่ยอมรับว่าบางครั้งเรื่องสุขภาพไม่สามารถควบคุมได้ จึงขอให้นำไปเป็นบทเรียน.-สำนักข่าวไทย