ตร.แจ้ง 3 ข้อหาหนัก “โฟโต้” ผู้ต้องหาฆ่าหนุ่มใหญ่หมกศพคอนโด

นนทบุรี 1 มิ.ย.-ตำรวจคุมตัว “โฟโต้” ผู้ต้องหาแทงหนุ่มใหญ่หมกศพคอนโด มาสอบสวนขยายผลต่อที่ สภ.เมืองนนทบุรี เบื้องต้นแจ้งดำเนินคดี 3 ข้อหาหนัก ด้านพ่อผู้ต้องหา ขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตและประชาชนทุกคน สิ่งที่ลูกทำลงไป ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

เมื่อเวลาเที่ยงคืนที่ผ่านมา ที่ สภ.เมืองนนทบุรี ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 1 ควบคุมตัว นายภูริณัฐ หรือโฟโต้ อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ก่อเหตุฆ่าโหด ใช้มีดปากคอและแทงตามร่างกาย นายไพศาล หรือโต๊ด อายุ 54 ปี พ่อค้าออนไลน์ทำธุรกิจขายเสื้อผ้ามือสอง กว่า 10 แผล เสียชีวิต ในคอนโดฯ ย่านงามวงศ์วาน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี เพื่อสอบปากคำและทำบันทึกจับกุม หลังจนมุมถูกจับกุมได้ที่บ้านพักญาติสนิทในพื้นที่จังหวัดชุมพร เมื่อช่วงบ่ายวานนี้


ซึ่ง “โฟโต้” ได้ใส่หมวกปีกกว้างลายพราง สวมแว่นดำ ปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด หลบสื่อมวลชน เข้าบริเวณประตูด้านข้าง เข้าไปที่ห้องสอบสวน โดยมีการสอบปากคำ เบื้องต้นมีทนายความ และพ่อของผู้ต้องหา ร่วมฟังการสอบปากคำ ซึ่งผู้ต้องหายังไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน ก่อนจะนำตัวเข้าห้องควบคุมและรอสอบปากคำอีกครั้ง ในช่วงเช้าวันนี้ โดยเบื้องต้น นายโฟโต้ จะถูกแจ้งดำเนินคดีตามหมายจับของศาลจังหวัดนนทบุรี เบื้องต้น รวม 3 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะ และพกพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร และในเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จะแถลงข่าวการจับกุมที่ สภ.เมืองนนทบุรี

ด้าน นายพรชัย พ่อของโฟโต้ ผู้ต้องหา ได้ยกมือไหว้ขอโทษครอบครัวนายไพศาล ผู้เสียชีวิต และยังขอโทษ ประชาชน ที่ได้ดูข่าว สิ่งที่ลูกชายได้ทำลงไปและมีส่วนทำให้นายไพศาล เสียชีวิต คงต้องได้รับโทษตามกฎหมาย โดยที่ผ่านมาลูกไม่เคยบอกเล่าปัญหาใดๆ ให้ฟัง เมื่อวานเพิ่งได้พูดคุยกับภรรยา และไม่รู้ว่าลูกชได้ทำอะไรลงไปบ้าง แต่ก็ไปทำบุญให้นายไพศาล


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในชั้นจับกุมที่บ้านญาติในจังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่ได้ยึดของกลางเป็นทองแท่งน้ำหนักประมาณ 21 บาท ซึ่งผู้ต้องหา นำบัตรเครดิตของผู้เสียชีวิตไปตระเวนรูดซื้อหลังก่อเหตุ และบัตรประชาชนของผู้เสียชีวิต สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่าทำธุรกิจร่วมกับผู้เสียชีวิตมาได้ประมาณปีกว่าๆ และอ้างว่าผู้เสียชีวิตได้ โกงเงินไปจำนวน 5 ล้านบาท โดยวันเกิดเหตุตั้งใจจะไปพูดคุยเรื่องหนี้สิน แต่ผู้เสียชีวิตพยายามบ่ายเบียง ประกอบกับผู้เสียชีวิตเป็นคนรูปร่างใหญ่กลัวจะไม่ปลอดภัย โดยวันเกิดเหตุจะไปทวงถามเรื่องหนี้สินอีกครั้ง จึงได้แวะไปหาซื้อมีด เพื่อเตรียมไว้ป้องกันตัว หลังจากมีการพูดคุยกัน กลับถูกผู้เสียชีวิตด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง จึงบันดาลโทสะคว้ามีดที่พกติดตัวไปกระหน่ำแทง ก่อนที่จะบังคับให้บอกเลขรหัสบัตรเครดิต รหัสปลดล็อกมือถือ จากนั้นก็นำไปซื้อทองคำแท่งแล้วหลบหนีไปต่างจังหวัด โดยเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และยืนยันว่าไม่ได้เป็นคู่ขาเกย์กับผู้เสียชีวิต ตามที่เป็นข่าว แค่ทำธุรกิจร่วมกันเท่านั้น

ด้าน แม่ของผู้ก่อเหตุ ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ บอกว่า ลูกเล่าให้ฟังว่าได้ทำธุรกิจ แต่ลูกไม่เคยบอก ลูกเพิ่งมาบอกต่อหน้าตำรวจว่าผู้เสียชีวิตเอาเงินเขาไป 5 ล้าน เขาก็ไปขอคืน เมื่อได้จะเอามาคืนแม่ เพราะก่อนหน้านี้ เขาเอาเงินแม่ไป 2 ล้าน เมื่อไปทวง ผู้เสียชีวิตไม่ยอมจ่ายคืน และเป็นฝ่ายบีบคอเขาก่อน เขาก็เลยต้องป้องกันตัว โดยตอนเห็นข่าว ตามล่าฆาตกรสวมฮู้ดลากกระเป๋า แม่ก็เอ๊ะ มันคุ้น เหมือนเสื้อของลูกหมดทุกอย่าง ก็เค้นถามลูกตั้งแต่แรก แต่เขายังไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าไม่ใช่เขา แค่คนหน้าเหมือน เดี๋ยวตำรวจก็จับคนร้ายได้เองแหละ

ส่วนที่ สภ.เมืองนนทบุรี พี่ชายและแม่ผู้เสียชีวิต เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม โดยพี่ชายไม่เชื่อว่าน้องชาย ติดหนี้ผู้ต้องหา เพราะภาพจากการพูดคุยในลิฟท์ ถ้าสังเกตให้ดีในลิฟท์น้องชายจะถามเขาว่าทำไมไม่ออกกำลังกาย เขาบอกว่าไม่ค่อยมีตังค์ แล้วแบบนี้มันจะทำธุรกิจยังไง เรื่องนี้ขอฝากดูหลักความเป็นจริงด้วย ขณะที่แม่ผู้เสียชีวิต ยืนยันว่าลูกไม่มีนิสัยที่จะโกง มีแต่จะให้เท่านั้น ที่เขามาอ้างแบบนี้รู้สึกโกรธมาก เป็นใครจะไม่โกรธ ทั้งนี้หากผู้ก่อเหตุ อยากจะมาขอขมาศพก็มาได้ แต่ส่วนตัวไม่ให้อภัย


ย้อนคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพบศพนายไพศาล ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ใช้มีดปาดคอ และถูกแทงตามร่างกายกว่า 10 แผล เสียชีวิตในห้องพัก คอนโดแห่งหนึ่ง ถนนงามวงศ์วาน ใกล้กับกระทรวงสาธารณสุข หลังเกิดเหตุตำรวจชุดสืบสวน เร่งค้นหาพยานหลักฐาน และพบเบาะแสสำคัญของคนร้ายเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพผู้ต้องสงสัยที่อยู่กับผู้เสียชีวิตเป็นคนสุดท้าย บริเวณคอนโดที่เกิดเหตุ และขึ้นลงลิฟท์หลายครั้ง มีการวางแผนตระเตรียมการก่อเหตุมาอย่างดี ตั้งแต่การไปซื้อมีดก่อเหตุที่ห้างฯ ย่านรัชโยธิน ก่อนขึ้นแท็กซี่มาพบผู้ตายในวันที่ 20 พฤษภาคม หลังก่อเหตุ เมื่อวันที่ 25พ.ค. มีการไปตระเวนซื้อทองคำแท่งน้ำหนัก 23 บาท ที่ห้างย่านลาดพร้าว โดยใช้โทรศัพท์ของผู้ตาย ไปสแกน QR Code จากนั้นในวันที่ 26 พ.ค.จะย้อนกลับมาใช้บัตรเครดิตของผู้เสียชีวิตซื้อทองคำแท่งอีกครั้ง น้ำหนัก 5 บาท รวม 2 วัน คนร้ายได้ทำธุรกรรมซื้อทองคำแท่งไปน้ำหนัก 28 บาท มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังนำโทรศัพท์ของผู้ตาย 2 เครื่อง ไปขายที่ห้างย่านปทุมวัน โดยคนร้ายได้สวมบัตรประชาชนของผู้ตาย และอ้างกับเจ้าของร้านทั้ง 2 แห่งว่า ไปศัลยกรรมมา จึงทำให้หน้าตาตัวจริง ไม่เหมือนกับรูปในบัตร

หลังก่อเหตุในพื้นที่ จ.นนทบุรี ได้หลบหนีไปที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี จากนั้นเรียกแท็กซี่จากพัทยา ไปส่ง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วขึ้นรถทัวร์ต่อมาที่ชุมพร แต่ตีตั๋วลงปลายทางที่ จ.สุราษฎร์ธานี แล้วลงที่แยกปฐมพร จากนั้นได้โทรศัพท์ให้ญาตินำรถเก๋ง มารับไปยังบ้านญาติ ซึ่งเป็นอดีตผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่งที่ ม.4 ต.วังใหม่ อ.เมือง จ.ชุมพร ซึ่งห่างจากสี่แยกปฐมพร เพียง 20 กม. โดยบ้านของอดีตผู้นำท้องถิ่นรายนี้ อยู่ห่างจากถนนเพชรเกษม สายชุมพร-ระนอง เส้นทางเข้า จ.ชุมพร เพียง 400 เมตร เป็นบ้านปูนชั้นเดียว ปลูกในสวนทุเรียน กว่า 10 ไร่ และจากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหาเป็นชาว จ.ชุมพร ภูมิลำเนาอยู่หมู่ 4 ต.วังใหม่ จึงนำกำลังพร้อมหมายศาลเข้าตรวจค้น และจับกุมผู้ต้องหาได้ในที่สุด.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ

กทม. 23 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ เฝ้าระวัง “พายุดีเปรสชัน” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน กระทบไทย 24-27 ส.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสมที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊ก ขรก.มหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน

ทำเนียบ 23 ส.ค.- โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊กข้าราชการมหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน ด้าน “เชษฐา” เป็นอธิบดี ปภ. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 ส.ค.2568 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี -สำนักข่าวไทย

จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองโกงเงินอุดหนุน ก่อนหนีกบดานลาว

22 ส.ค. – ตำรวจภูธรภาค 1 จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง โกงเงินอุดหนุน 17.6 ล้านบาท หนีกบดานลาว ก่อนจนมุมถูกจับกุมได้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระพุทธบาท, ตม.จว.หนองคาย, กกต.จว.หนองคาย ร่วมกันจับกุม นายพีระวิทย์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 นายพีระวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รับเงินอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวนประมาณ 17.6 ล้านบาท โดยไม่มีการทำหลักฐานการเบิกจ่าย ทำให้ กกต. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายพีระวิทย์ และเหรัญญิกพรรค ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.พระพุทธบาท โดยเลื่อนการเข้าให้ปากคำและแสดงหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในข้อหา […]

“ธีรรัตน์” สั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บาย 24 ชม. รับพายุคาจิกิ

กทม. 22 ส.ค.- “ธีรรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บายรับมือผลกระทบ “พายุคาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ย้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผลกระทบพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งพบว่าพื้นที่บางส่วนมีความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซาก ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ 45 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด 45 จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวมถึงกรุงเทพมหานคร กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่หากพบว่ามีความเสี่ยง ในส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ให้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำและห้ามเดินเรือทุกชนิดหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง “ให้ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

ทีมทนายวัดพระบาทน้ำพุแจงปม “หลวงพ่ออลงกต” สวมบัตร ปชช. คนตาย

ลพบุรี 24 ส.ค. – วัดพระบาทน้ำพุ ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันเลขบัตรประชาชนของ “หลวงพ่ออลงกต” ไม่ซ้ำกับ “อลงกต พลมุข” ปัดตอบปมเลขบัตรประชาชนผู้เสียชีวิต ผูกพร้อมเพย์บัญชีมูลนิธิฯ ขอไปตรวจสอบก่อน ส่วนทางคดี จับตาสัปดาห์หน้า จะมีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 1 คน วันนี้ ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี นายศุภชัย สิงคาลวานิช หัวหน้าทีมทนายความของวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นครั้งแรก โดยบอกว่าวันนี้ หลวงพ่ออลงกตไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะมาให้สัมภาษณ์ แต่ครั้งนี้มีข้อมูลมาก มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายและปัญหาที่ซับซ้อนหลายอย่าง หากตอบไปอาจกระทบต่อคดี และยืนยันว่า หลวงพ่อมีเจตนาบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือผู้ป่วย เด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งขณะนี้สังคมเข้าใจผิดในหลายเรื่อง เพราะเกิดการชี้นำของหลายเพจ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในบางสื่อ นำเรื่องมาปะติดปะต่อจนสร้างความเสียหาย ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่หลวงพ่ออลงกต สวมชื่อและเลขบัตรประชาชน “อลงกล พลมุข” ข้าราชการที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น ทีมทนาย เปิดเผยว่า หลวงพ่ออลงกต มีบัตรประชาชนของท่านเอง และนามสกุลของท่าน […]

สกัดจับขบวนการค้ามนุษย์ ลอบขนคนไทยไปเขมร

สระแก้ว 24 ส.ค. – ทหารพรานลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านกุดหิน ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สกัดจับคนไทย 10 คน ขณะลักลอบเข้ากัมพูชา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะเจ้าหน้าที่กำลังลาดตระเวนตามแนวชาย เพื่อสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายที่จะแอบลักลอบขนข้ามแดน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว (ไม่ทราบทะเบียน) และ รถยนต์เก๋ง สีดำ ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งขับผ่านเข้ามาในพื้นที่ล่อแหลม โดยรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว ได้จอดให้คนเดินลงมาจากรถ และเดินเข้าป่าไป จำนวน 6 คน ประกอบด้วย คนนำพา 1 คน และผู้ลักลอบ 5 คน โดยทั้งหมดเป็นคนไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ ส่วนรถยนต์เก๋งสีดำที่ขับตามมา เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ จึงขับหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับไว้ได้ (ห่างจากจุดแรกประมาณ 200 เมตร) จากการตรวจสอบภายในรถพบคนไทย 4 คน […]

พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใกล้ศูนย์เด็กเล็ก

อุบลราชธานี 24 ส.ค. – พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อยู่ริมสระน้ำใกล้ศูนย์เด็กเล็ก เพียง 100 เมตร จากกรณีที่กัมพูชา ยิงจรวด BM–21 เข้าใส่ชุมชน บ้านเรือนประชาชน ในฝั่งไทย จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนคนไทย เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผลกระทบจากจรวด BM–21 ต่อประชาชน คนไทย ยังคงมีอยู่ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้จากบ้านหลังหนึ่ง ในอำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 เข้ามาตกในเขตชุมชนฝั่งไทย โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น มีจรวด BM-21 ตกมาทั้งหมด 11 ลูก 2 ใน 11 ลูก ตกใส่บ้านประชาชน จนบ้านพังเสียหายทั้งหมด 2 หลัง และมี 1 […]

“มาริษ” จ่อบินเจนีวา แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี

สวีเดน 24 ส.ค.-“มาริษ” เตรียมบินเจนีวาต่อ แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี-องค์การสิทธิมนุษยชน-กาชาด ย้ำไทยรักสันติ ทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฟ้องเขมรใช้ทุ่นระเบิด-โจมตีพลเรือนไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าหลังการเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการแล้วจะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ไปชี้แจงให้กับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคีให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้ยุทธศาสตรฺของการใช้ วัตถุระเบิดสังหารบุคคน ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวาและในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สืทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (icrc )ก็ได้ออกมาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสารในการต่อสู้ โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งในโอกาสนี้ตนจะได้พบปะกับประธาน crc พอดี ซึ่งเคยพบกันที่กรุงเทพมหานครแล้ว และทางประธานทราบว่าตนจะมาเจนีวาก็สามารถมาพูดคุยกันต่อได้ ซึ่งจะได้อธิบายทั้ง 2 ประการเหล่านี้เพราะ icrc เป็นองค์กรหลักที่ดูกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสามองค์กรที่เราวางกลยุทธ์ จะเข้ามาพูดคุย ชี้แจงก็เพื่อยืนยัน ใน ท่าทีบทบาท ของประเทศไทยที่ชัดเจนว่าเราเป็นประเทศ ที่รักสันติ เราต้องการ แก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี แต่ต้องมีความจริงใจ […]