กรุงเทพฯ 27 มี.ค.-ผบช.สอท.สั่งย้าย “รองฟาง-ดาบยาว” ถูก “ทนายตั้ม” แฉพาดพิงขบวนการรับส่วยส่งบิ๊กตำรวจ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ยืนยัน สอท.ไม่ใช่แหล่งหารายได้มหาศาล พร้อมปฏิเสธห้องรองผู้บัญชาการไม่ใช่ห้องแบ่งส่วยตามที่ถูกกล่าวหา ยินดีให้ตรวจสอบหน่วยงานเพราะเป็นข้าราชการ
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยถึงกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาแถลงเปิดโปงขบวนการรับส่วยและเส้นทางการเงินที่พาดพิงถึง ด.ต.อภิชาต หรือดาบยาว และ พ.ต.ท.สุรกุล หรือรองฟาง ว่า ในแนวทางการปฏิบัติของ สอท. คือต้องมีคำสั่งมาประจำ ศปก. สอท. และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยหลังจากถูกพาดพิงเมื่อวานนี้ก็ได้ดำเนินการทั้ง 2 ส่วนทันที ซึ่งตำรวจทั้ง 2 นาย เข้ามาประจำที่ ศปก.แล้ว ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้สอบถามนายตำรวจทั้ง 2 นาย ที่ถูกพาดพิง แต่ให้คณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบ และเมื่อวานมีการพาดพิงถึงหลายหน่วยงาน หลายพื้นที่ ซึ่งพบว่าเป็นข้อมูลปีเก่า ๆ ตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นมา ซึ่งทางสอท.ได้สั่งดำเนินการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว โดยข้อมูลการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ก็พบว่า เป็นข้อมูลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับข้อมูลที่เคยมีผู้กำกับสืบสวนจังหวัดสงขลา ไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.เตาปูน ซึ่งขณะนี้ สน.เตาปูน อยู่ระหว่างการสืบสวนดำเนินคดี
ส่วนที่ทนายตั้ม จะไปพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นั้นก็เป็นส่วนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินคดีด้วยส่วนหนึ่ง จึงมองว่าสังคมไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการตรวจสอบ เพราะมีหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบทั้ง สน.เตาปูน, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการตรวจสอบในภาพรวมด้วย
ส่วนเส้นทางการเงินที่มีลักษณะพาดพิงถึงการกระทำผิดหลายประเภท โดยเฉพาะเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเรื่องของเส้นเงินที่ ตำรวจ สน.เตาปูน และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนการต้องทำการตรวจสอบ
ส่วนที่ถูกมองว่า ลักษณะการเก็บเงินหน้าเสื่อแล้วส่งไปให้บิ๊กตำรวจนั้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ ระบุว่าก็คงต้องดูหลักฐานที่นำมาชี้แจงกับหลักฐานทางการเงิน ว่ามีลักษณะการเชื่อมโยงกันแบบไหน บางเส้นก็มีครั้งเดียวบางเส้นเองก็มีหลายครั้ง ซึ่งเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีทั้งสิ้น ซึ่งส่วนของ สอท.เป็นการตรวจสอบทางวินัย เพราะคดีอาญาเป็นของ สน.เตาปูน และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ส่วนที่ทนายตั้ม กล่าวอ้างว่า มีการนำเงินไปให้บิ๊กตำรวจคนหนึ่งนั้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ ระบุว่า ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้สั่งให้ตรวจสอบบุคคลที่ถูกพาดพิงทั้งหมด รวมถึงในภาพรวมของ สอท.ทั้งหมด โดยมีกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหน่วยไหนก็ล้วนต้องถูกตรวจสอบทั้งสิ้น และเชื่อว่าการตรวจสอบจะเข้มข้นเรื่อย ๆ ในเมื่อเป็นข้าราชการก็ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ
ส่วนกรณีที่เพจทนายตั้ม ถูกปิดกั้นก่อนจะมีการแถลงข่าวแล้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ สอท.หรือไม่นั้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ ระบุว่าไม่เกี่ยวกับ สอท. เพราะเพจปิดก็เปิดได้ หากมีการร้องขอไม่กี่ชั่วโมง และไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม เพราะเป็นข้อมูลเดิม ๆ
ส่วนกรณีที่มีการพาดพิงจากการแถลงข่าวของทนายตั้มว่ามีการใช้ห้องหนึ่งใน สอท.เพื่อส่งยอดและรับยอดเงินส่วยทุกวันที่ 25 ของเดือน นั้นมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มีห้องอยู่จริงหรือไม่ พล.ต.ท.วรวัฒน์ ระบุว่า “ไม่ใช่ เพราะห้องนั้นเป็นห้องของผู้บังคับบัญชา เป็นห้องรองผู้บัญชาการจะเข้าไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร” และตนเองไม่ได้เข้าไปตรวจสอบเพราะเป็นสำนักงานมีหน้าห้องนั่งอยู่ปกติ พร้อมย้ำว่าตนเองพร้อมให้ตรวจสอบ ใครจะตรวจสอบก็มาตรวจสอบเพราะเป็นข้าราชการก็พร้อมถูกตรวจสอบ
ส่วนกรณีที่ถูกมองว่า สอท.เป็นแหล่งเงินที่มีการหารายได้กันมหาศาลนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะถ้าตำรวจหน่วยไหนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจนั้นๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ และมักจะถูกพาดพิงและถูกตรวจสอบ เช่น ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งมาก็มีการจับกุมเว็บพนันและยึดทรัพย์ไปหลายพันล้าน
ทั้งนี้ มองยังไงที่จับบัญชีม้าแต่กลับถูกพาดพิงว่าใช้บัญชีม้าเอง พล.ต.ท.วรวัฒน์ ตอบว่า คงต้องไปให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาตรวจสอบเพราะก็สามารถดำเนินคดีกับเราได้ และตนเองได้มีการกำชับในการทำงานให้หนักขึ้นด้วย เมื่อถามว่า สอท.รู้สึกว่าเป็นหนึ่งในหมากที่อยู่เกมของบิ๊กตำรวจหรือไม่ มองว่า ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานก็ต้องรับผิดชอบว่ามีเสียงสะท้อนแบบนี้จะทำอย่างไรให้หน่วยงานอื่นมาตรวจสอบเราได้. -412-สำนักข่าวไทย