กรุงเทพฯ 29 ต.ค. หัวเว่ย ชี้การมาของ 5G ทำให้โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อใหม่ นายเดวิด หวัง ผู้อำนวยการบริหารของหัวเว่ย กล่าวถึงแนวโน้มเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระบบสื่อสารไร้สายว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อกำลังเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลง 5 ประการ การยกระดับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อทุกครั้งล้วนสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่สังคมในระดับรากฐาน ปัจจุบันขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคอัจฉริยะ ทั้งปัจเจกบุคคล ครัวเรือน และองค์กร ล้วนต้องการการเชื่อมต่อมากกว่าที่เคยเป็น และเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น คลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ล้วนทำงานประสานกันได้อย่างรวดเร็วผ่านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ซึ่งนำพาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไปสู่การเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลง 5 ประการได้แก่ การเชื่อมต่อจาก IoT กับ IoT อัจฉริยะ สู่ Intelligent Twins ที่เชื่อมต่อกัน ในอดีต เราต้องการเชื่อมต่อผู้คนกับบ้าน นำมาสู่การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT) เมื่อเราต้องการสร้างชีวิตที่เชื่อมกับ AI อย่างไร้รอยต่อและยกระดับองค์กรสู่ความอัจฉริยะ เราจึงต้องเชื่อมต่อหลายๆ สิ่งเข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะให้มากขึ้น นำมาสู่ IoTอัจฉริยะ (intelligent IoT) มีการคาดการณ์ว่าปริมาณการเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีถึง 1 ล้านล้าน ภายในปี ค.ศ. 2035 จะทำให้เกิดการเชื่อมต่ออย่างครอบคลุมทุกหนแห่งและการแพร่กระจายของเทคโนโลยีอัจฉริยะเกิดขึ้นได้จริง การเชื่อมต่อจากออฟฟิศสู่ออฟฟิศกับการผลิต โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงความต้องการที่ผู้คนมีต่อเครือข่ายบรอดแบนด์ในครัวเรือน ด้านการใช้งานขององค์กรนั้น เทคโนโลยีการเชื่อมต่อพัฒนาไปไกลกว่าแค่การใช้งานในออฟฟิศ โดยรองรับได้ทั้งออฟฟิศและการผลิต สิ่งที่องค์กรมุ่งเน้นในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลนั้น ได้เปลี่ยนจากออฟฟิศดิจิทัลสู่การผลิตดิจิทัล การทำธุรกรรมดิจิทัล และการบริหารจัดการแบบดิจิทัล การเชื่อมต่อจากการทุ่มเทให้ดีที่สุด สู่บริการเชิงกำหนดที่หลากหลาย อุตสาหกรรมต่างๆ มีความหลากหลายตามรูปแบบการให้บริการและความต้องการใช้งานด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ หากบริการที่แตกต่างคือสิ่งที่มีอยู่เป็นปกติในขณะนี้ ประสบการณ์การใช้งานในรูปแบบเชิงกำหนด (deterministic experience) ก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องมีต่อจากนี้ ผู้ให้บริการเครือข่ายจึงจำเป็นต้องเปิดประตูให้กับตลาดอุตสาหกรรมแนวดิ่ง ด้วยการมอบบริการเชิงกำหนดที่หลากหลาย การเขื่อมต่อจากเมกะไบต์สู่กิกะไบต์ผ่านตัวกลางใดก็ได้เทคโนโลยีการเข้าถึงการเชื่อมต่อแบบหลายช่องทาง(Multiple access) ที่มีอยู่ เช่น โทรศัพท์มือถือ, Wi-Fi, ใยแก้วนำแสง และความหลากหลายของรูปแบบการบริการหมายความว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่เป็นการเข้าถึงการเชื่อมต่อแบบหลายช่องทางจะยังคงมีอยู่ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า และด้วยความทุ่มเทร่วมกันของทั้งภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี 4G, 5G, Wi-Fi และเทคโนโลยีใยแก้วนำแสงในปัจจุบันจะทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่ความเร็วระดับกิกะไบต์ได้อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่ และการดำเนินงานและการบำรุงรักษาด้วยโดยใช้คน สู่ระบบอัตโนมัติขั้นสูง เทคโนโลยี 5G จะทำให้การดำเนินงานและการบำรุงรักษาเครือข่าย(O&M) ซับซ้อนกว่าเทคโนโลยี 4G กระบวนการ O&M ที่ใช้คนนั้นจะไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะรับมือกับความซับซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ และจะเปลี่ยนไปสู่การใช้ระบบอัตโนมัติขั้นสูง (hyper-automation) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและ AI เพื่อทำให้การตัดสินใจในกระบวนการ O&M เรียบง่ายมากขึ้น มุ่งสู่การเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วย AI ความเปลี่ยนแปลงทั้ง 5 ประการนี้กำลังสร้างความต้องการใหม่ ๆ ต่อเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ซึ่งต้องได้รับการอัปเกรดขึ้นไปเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ความต้องการประการแรกคือเครือข่ายระดับกิกะไบต์ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ (ubiquitous gigabit) เพราะแบนด์วิดท์คือโครงสร้างพื้นฐานของการเชื่อมต่อการเชื่อมต่อในระดับกิกะไบต์ที่ครอบคลุมทุกที่จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวิดีโอความละเอียดสูงระดับ ultra-HD, แอปพลิเคชัน VR/AR เชิงอุตสาหกรรม, กล้อง AI และโดรน ความต้องการประการที่สองคือประสบการณ์การใช้งานเชิงกำหนดซึ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้งานในบ้าน เช่น การทำงานจากบ้านและการเรียนออนไลน์ รวมถึงการใช้งานในองค์กร เช่น การผลิตที่ปลอดภัยและวางใจได้ และความต้องการประการที่สามคือระบบอัตโนมัติขั้นสูงเนื่องจากการพัฒนาเครือข่ายในแง่ของขนาดและความซับซ้อน เทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและ AI จะต้องได้รับการนำไปใช้เพื่อให้เกิดเป็นระบบอัตโนมัติขั้นสูงได้สำเร็จ-สำนักข่าวไทย.