ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : อะไรเข้าตา

เมื่อมีอะไรเข้าตา สิ่งที่ต้องอย่าทำคืออะไร และสิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมออกจากดวงตา เป็นอย่างไร ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย “ดวงตา” เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญ และมีความบอบบาง ในแต่ละวัน คนเราลืมตาเกือบ 20 ชั่วโมง โอกาสเสี่ยงที่จะมีอะไรเข้าตาได้ค่อนข้างมาก ทางการแพทย์ มีการแบ่งสิ่งแปลกปลอมที่เข้าดวงตาได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สิ่งแปลกปลอมที่มีความเร็วต่ำ และสิ่งแปลกปลอมที่มีความเร็วสูง 1. สิ่งแปลกปลอมที่มีความเร็วต่ำในการปลิวเข้ามาที่ดวงตา เช่น พบบ่อยในคนที่ทำงานเจียเหล็ก และเศษเหล็กปลิวเข้ามาติดบริเวณดวงตา รวมถึงในคนที่เดินหรือขี่รถจักรยานยนต์ และมีลมพัดปะทะดวงตา อาจมีสิ่งแปลกปลอมตั้งแต่ฝุ่นธรรมดา แมลงทั้งตัวหรือชิ้นส่วนของตัวแมลงปลิวเข้าตาได้ 2. สิ่งแปลกปลอมที่มีความเร็วสูงวิ่งเข้าสู่ดวงตา พบได้บ่อย ๆ เช่น ตอกตะปูและเศษตะปูบินสวนทิ่มเข้าสู่ดวงตา ซึ่งจะเกิดอันตรายกับดวงตาค่อนข้างรุนแรงเพราะอาจทำให้ตาบอดได้ จำเป็นต้องผ่าตัดนำสิ่งแปลกปลอมออกจากดวงตา นอกจากนี้ กรณีสิ่งแปลกปลอมมีชีวิตเข้าสู่ดวงตา โดยเฉพาะแมลงชนิดต่าง ๆ พบเข้าตาเด็กได้บ่อย ควรรีบนำออก ถ้าไม่ได้จะต้องรีบไปพบจักษุแพทย์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อนำแมลงมีชีวิตออกจากดวงตา บางครั้งพบว่าสิ่งแปลกปลอมมีชีวิตเข้าไปซ่อนอยู่ด้านในของเปลือกตา (ทั้งเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง) บางครั้งการกะพริบตาก็ยังไม่สามารถนำออกจากดวงตาได้  […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : 6 วิธีรักษาหลอดเลือดขอด โดยไม่ต้องผ่าตัด จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ “6 วิธีรักษาหลอดเลือดขอดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด” มีตั้งแต่ปรับพฤติกรรม เลือกกินอาหารและสมุนไพรบางชนิด ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย และใส่ถุงน่องหลอดเลือดขอด จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ​​รศ.นพ.เทิดภูมิ เบญญากร สาขาวิชาศัลยศาสตร์หลอดเลือด ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใน 6 วิธีที่แชร์กัน มีทั้งจริงและไม่จริง ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดขอดไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเสมอไป ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ข้อ 1. ปรับพฤติกรรม ไม่อยู่ในท่าเดิมนาน ๆ ข้อนี้จริง เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยเรื่องหลอดเลือดขอดให้ดีขึ้นได้ การเดิน หรือการขยับปรับเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ สามารถลดความรุนแรงของหลอดเลือดขอดได้ สำหรับรายที่ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดขอดมีมากขึ้นแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินวิธีการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมแต่ละรายต่อไป ข้อ 2. เลือกกินผักและผลไม้ที่มีสารฟลาโวนอยด์และไบโอฟลาโวนอยด์ เช่น บลูเบอร์รี หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รีและดาร์กช็อกโกแลต ข้อนี้ไม่จริง เพราะอาหารไม่สามารถช่วยรักษาหลอดเลือดขอดได้ ถึงแม้จะมีสารอาหารที่จำเป็นในการรักษาหลอดเลือดขอด แต่ก็มีปริมาณน้อยมากที่ไม่สามารถทำให้อาการของหลอดเลือดขอดดีขึ้น ข้อ 3. กินสมุนไพรรักษาหลอดเลือดขอด เช่น ใบบัวบก พริก […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : กินวิตามินบลูเบอร์รี่ ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์แนะนำให้วิตามินที่มีส่วนผสมของบลูเบอร์รี่ ( Blueberry) กินก่อนดูคอนเสิร์ต 15 นาที ช่วยให้มองเห็นภาพชัดขึ้นได้ จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่องนี้ไม่จริง เพราะว่ามีวิตามินบางชนิดเท่านั้นที่เป็นประโยชน์กับดวงตา แต่ไม่ใช่กินช่วงสั้น ๆ แล้วเกิดประโยชน์กับดวงตาทันที จอประสาทตา “ปรับตัวที่มืด” เกี่ยวข้องกับผลไม้ “บลูเบอร์รี่” อย่างไร ? ขณะที่เข้าไปในสถานที่มืด เป็นธรรมชาติของดวงตาที่ช่วงแรกยังเห็นภาพไม่ชัด ประมาณ 5-10 นาที กลไกของดวงตาก็จะมีการปรับตัว ทำให้มองเห็นคอนเสิร์ตหรือภาพยนตร์ได้ชัดเจน ผลไม้กลุ่มตระกูลเบอร์รี่มีการพูดถึงประโยชน์ว่าบำรุงสมอง บำรุงสายตา แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าคนเราจำเป็นต้องกินผลไม้ตระกูลบลูเบอร์รี่เพื่อบำรุงสายตา วิตามินชนิดไหน ส่งผลดีต่อดวงตา ? วิตามินที่ส่งผลดีต่อดวงตาก็คือ วิตามินเอ มีอยู่ทั่วไปในอาหาร (ผักใบเขียว และผลไม้บางชนิด) ร่างกายต้องการวิตามินเอต่อวันจำนวนน้อยมากสำหรับการทำงานของจอประสาทตา การขาดวิตามินเอจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดโรคตาหลายโรคตามมาได้ ขอให้สบายใจได้อย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันไม่พบคนไทย (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) ขาดวิตามินเอจนส่งผลให้เกิดความผิดปกติที่ดวงตา ในอาหารทั่วไปก็มีวิตามินเอเพียงพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อวิตามินเอหรือกินอาหารเสริมเพื่อบำรุงดวงตา นอกจากวิตามินเอยังมีสารอาหารอื่นอีกหลายชนิดที่เป็นประโยชน์กับดวงตา คือสารลูทีน (Lutein) […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ความเครียดทำให้หลอดเลือดฝอยในตาแตก จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อความเตือนว่าความเครียดทำให้หลอดเลือดฝอยในตาแตก จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย 📌 สรุป : ❌ ไม่จริง ไม่ควรแชร์ต่อ ❌ ความเครียดทำให้หลอดเลือดฝอยในตาแตก ? ไม่จริง เพราะว่าหลอดเลือดที่บริเวณตาขาวของคนเราก็เหมือนหลอดเลือดบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย โดยทั่วไปแล้วหลอดเลือดอาจจะเกิดการแตกได้ ก็เหมือนบริเวณผิวหนังทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าที่เยื่อบุตาหรือตาขาว มีลักษณะใสและบาง ถ้ามีหลอดเลือดฝอยแตก ก็จะไม่ได้เห็นเป็นสีเขียว ๆ คล้ำ ๆ เหมือนบริเวณใต้ผิวหนัง ซึ่งมีผิวหนังกั้นอยู่ แต่เยื่อบุตามีลักษณะใส เราก็จะเห็นเป็นเลือดสีแดงบริเวณตาขาวข้างใดข้างหนึ่ง เป็นบางบริเวณ ถ้าเป็นมากก็อาจจะเห็นทั่วทั้งบริเวณตาขาว ทำให้ดูน่ากลัว สาเหตุของเยื่อบุตาขาวที่หลอดเลือดบริเวณนี้แตก ส่วนใหญ่จะพบว่าเกิดจากการกระทบกระเทือน ที่พบบ่อยที่สุดก็คือการขยี้ตา ในบางคนที่มีอาการเคืองตาแล้วเผลอไปขยี้ตาอย่างรุนแรง ก็อาจจะทำให้หลอดเลือดฝอยที่บริเวณตาขาวเกิดการแตก ก็กลายเป็นสีแดงทั่วบริเวณดวงตาขาวได้ ที่พบบ่อยอีกอย่างหนึ่งก็คือ ขณะตื่นนอนใหม่ ๆ บางคนอาจจะเผลอขยี้ตาตอนนอน หรืออาจจะนอนกดกับหมอนก็อาจทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นมีความดันสูงขึ้นแล้วเกิดการแตก นอกจากนั้น อาจจะพบในคนที่มีอาการไออย่างรุนแรง ที่สมัยก่อนเรียกว่า “โรคไอกรน” […]

ชัวร์ก่อนแชร์ Motor Check : สตาร์ตรถนอน เสี่ยงเสียชีวิต จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์เตือนว่า ห้ามสตาร์ตรถนอน เพราะอาจเสียชีวิตได้ เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สุรมิส เจริญงาม นักทดสอบและผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยียานยนต์ เรื่องนี้จริงและแชร์ต่อได้ แต่ก็มีคนแย้งว่าทำแล้วไม่เห็นเป็นอะไรเลย เรียกว่าอยู่ที่พื้นที่จอดรถและเวลาในการนอนด้วย ทำไมถึงบอกว่า “ห้ามสตาร์ตรถนอน” ? เครื่องยนต์ระบบสันดาปสามารถปล่อยก๊าซพิษออกมาได้ โดยปกติแล้วขณะที่อยู่ในรถยนต์จะมีก๊าซพิษ 2 ตัวหลัก ๆ คือ 1. คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ออกจากร่างกายคนเรา 2. คาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) ออกจากปลายท่อไอเสียรถยนต์ ทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์ มีน้ำหนักเบากว่าก๊าซออกซิเจน (Oxygen) เวลาขับรถยนต์ปกติและรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่พ่นออกมาก็กระจายอยู่ในบรรยากาศ การขับรถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็จะมีก๊าซออกซิเจนเข้ามาในตัวรถด้วย และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่กระจายอยู่ในรถก็ถูกดันออกไปด้านนอกตัวรถด้วย ถึงแม้ว่าคนเราจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาตลอดเวลา แต่รถยนต์ถูกออกแบบให้อากาศภายนอกหมุนเวียนเข้ามาได้ จึงทำให้สามารถขับขี่รถยนต์ได้โดยไม่มีปัญหา กรณีการจอดรถยนต์บริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากท่อไอเสียรถยนต์สามารถย้อนกลับเข้ามาในตัวรถยนต์ได้ ก๊าซพิษสามารถเข้าสู่ตัวรถยนต์ทางไหน ? รถยนต์แต่ละคันจะมีช่องระบายที่เปิด-ปิดอัตโนมัติตามแรงลม ดังนั้น การจอดรถยนต์บริเวณที่การถ่ายเทอากาศไม่ดี ก๊าซพิษก็จะอยู่บริเวณรอบตัวรถจะซึมผ่านเข้าตัวรถส่งผลกับคนที่อยู่ในรถยนต์ได้ ขณะที่เราหายใจนำก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เม็ดเลือดแดงจับกับออกซิเจนไหลเวียนสู่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : จ้องหน้าจอคอมมากเกินไป ทำให้ม่านตาไหม้ คล้ำ ทำให้ตาเหลือง จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์ข้อความเตือนว่า การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป ทำให้ม่านตาไหม้ คล้ำ ตาเหลือง จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย การที่ “ม่านตา” ของคนเราจะเป็นสีอะไร เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่กำเนิด เป็นกรรมพันธุ์ แสงจากดวงอาทิตย์ หรือแสงที่เกิดจากการใช้สายตา ไม่ได้ทำให้ “ม่านตา” มีสีเข้มขึ้นเหมือนสีของผิวหนัง ในดวงตามีกลไกป้องกันแสงหรือความสว่างที่จะไปเปลี่ยนแปลง หรือทำอันตรายดวงตาอยู่หลายชั้น เช่น เปลือกตาหรือกระจกตา รวมทั้ง การหดและขยายของตัวม่านตา ทำให้สีของม่านตาไม่ได้แปรเปลี่ยนตามการถูกแสง ไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์ แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือ หรือแสงจากคอมพิวเตอร์ “ภาวะดวงตาเป็นสีเหลือง” โดยทั่วไปคงหมายถึงบริเวณตาขาว หรือเยื่อบุตาขาว แต่สมัยก่อนมักจะได้ยินคำว่า “ดีซ่าน” หรือโรคที่ทำให้ตาเหลือง ซึ่งเกิดจากสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งไปสะสมบริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ทั้งผิวหนัง และเยื่อบุตาทำให้ตามีสีเหลือง ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากตาที่เป็นสีเหลือง (คนที่เป็นโรคตับ หรือดีซ่าน) จริง ๆ แล้วภาวะเยื่อบุตาขาวของคนเรา ปกติโดยธรรมชาติจะเป็นสีขาวและใส แต่อาจจะเป็นสีเหลือง […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ขยี้ตาบ่อยทำให้หน้าแก่ก่อนวัย จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์เตือนการขยี้ตาบ่อย ๆ ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย ใครที่ชอบขยี้ตาเลิกได้เลิก ก่อนจะเกิด 4 ลักษณะที่ทำให้หน้าดูแก่ จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย การขยี้ตาทำให้หน้าดูแก่จริง เพราะการกดขยี้บริเวณเปลือกตา ทำให้มีผลกระทบเข้าไปในลูกตาได้ ข้อ 1. ขยี้ตาบ่อยทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย เพราะผิวหนังบริเวณเปลือกตาเป็นจุดที่บอบบาง การใช้แรงถูหรือขยี้ลงบนผิวจึงอาจทำให้เกิดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา และทำให้ผิวสูญเสียความกระชับ ผิวหนังหย่อนคล้อยได้ จริงมั้ย ผิวหนังรอบ ๆ บริเวณเปลือกตาเป็นผิวหนังที่มีความบางที่สุดของร่างกาย เมื่อถูกแรงกดหรือแรงขยี้ก็จะทำให้สูญเสียความกระชับ เกิดการหย่อนคล้อยบริเวณเปลือกตาได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อ 2. ขยี้ตาบ่อยทำให้ตาคล้ำ การถูลงบนเปลือกตาซ้ำ ๆ ก็ทำให้เกิดรอยคล้ำที่เปลือกตาได้ จากการกระตุ้นการไหลเวียนเลือด จนทำให้มองเห็นหลอดเลือดดำได้ชัดเจนกว่าปกติ จริงมั้ย ? การขยี้ตาบ่อย ๆ พบได้ในคนที่เป็นภูมิแพ้ ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ เปลือกตามีสีเข้มกว่าปกติ  การขยี้ตาทำให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อทั้งตัวผิวหนังเองและหลอดเลือดบริเวณรอบดวงตา ทำให้มีการรั่วของน้ำออกมาจากหลอดเลือดมาอยู่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีความชื้น มีสีเข้มขึ้น และเป็นอย่างถาวร […]

ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : ‘ตับพัง’ กับการกินสมุนไพร

บนสื่อสังคมออนไลน์มีหลากหลายข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการตับพัง “ตับพัง” คืออะไร มีอาการอย่างไร และการกินสมุนไพรจะส่งผลเสียต่อตับหรือไม่ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศ.ดร.นพ.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย “ตับ” เป็นอวัยวะที่สำคัญ เวลากินอะไรก็ตาม มีการย่อยในกระเพาะอาหาร หลอดเลือดในทางเดินอาหารจะนำสารอาหารเข้าไปสู่ตับ ถ้าตับเกิดแพ้สารอาหารเรียกกันว่า “ตับอักเสบ” ตับอักเสบ ไม่แสดงอาการ ? เนื่องจากตับเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ หนักประมาณ 1 กิโลกรัม เวลาตับเกิดการอักเสบ หรือเกิดการทำลายไปบางส่วนก็จะมีการทำงานทดแทนกันได้ ตับของคนเราเกิดการอักเสบมักจะไม่มีอาการ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตับในร่างกายเกิดการอักเสบ ถ้าตับถูกทำลายไปมาก ๆ ก็อาจเริ่มมีอาการเพลีย ไม่ค่อยมีแรง เหนื่อยง่าย มีปัสสาวะสีเหลืองเข้มขึ้น ถ้าสังเกตดี ๆ พอเหลืองมาก ๆ จะสังเกตที่ตาขาวก็จะเหลืองขึ้น ที่บอกว่าถ้ามีโรคตับแล้วก็จะมีตัวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน) อาการหลัก ๆ ในคนที่เป็นโรคตับรุนแรง เลือดจะไม่แข็งตัว หรือเลือดแข็งตัวผิดปกติ และมีเลือดออกตามร่างกาย บางคนเกิดอาการสับสน ซึม จนถึงขั้นหมดสติ หรืออารมณ์แปรเปลี่ยนไป อาจจะมีขาบวม […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : แช่น้ำแข็งบำบัดโรค จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์แนะนำการแช่น้ำแข็งเพื่อบำบัดโรค ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดความเครียด แก้อาการปวดได้ จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.กภ.วรรธนะ ชลายนเดชะ คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา “การแช่น้ำแข็ง” สามารถใช้ได้บางกรณี และนิยมใช้ในกลุ่มนักกีฬา อุณหภูมิของน้ำที่ใช้แช่น้ำแข็ง ประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส ร่างกายแช่น้ำแข็ง เกิดอะไรขึ้นกับกลไกร่างกาย ? ตามหลักวิชาการ ความเย็นทั้งตัวจะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลาย (แขนและขา) ลดลง เลือดจะไหลเข้าสู่ส่วนกลางของร่างกายเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อยู่คงที่ คือ 37.5 องศาเซลเซียส ความเย็นกระตุ้นการทำงานของระบบร่างกาย ให้เมตาบอลิซึม (Metabolism) หรือระบบการเผาผลาญเพิ่มขึ้น อาจจะมีอาการสั่นของกล้ามเนื้อได้ และเพิ่มความร้อนภายในร่างกาย ผลหลัก ๆ คือกระตุ้นให้สารเอ็นดอร์ฟินส์ (Endorphins) หลั่งออกมา จะทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย โดย “เอ็นดอร์ฟินส์” เป็นสารส่งผ่านเส้นประสาทที่ผลิตโดยต่อมใต้สมอง (Pituitary gland ) และต่อมใต้สมองส่วนล่าง (Hypothalamus) เป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการปวด สำหรับคนที่จะใช้วิธีการแช่น้ำแข็งทั้งตัวจะต้องมีร่างกายแข็งแรง […]

ชัวร์ก่อนแชร์ KEYWORD : GADILIT AFIEGUT ? — พิษสงจากการใช้เครื่องมือดิจิทัล มากเกินไป !

26 ตุลาคม 2567 – สิ่งนี้…เป็นสภาวะเหนื่อยหน่ายทางจิตใจที่เกิดจากการใช้เครื่องมือดิจิทัลมากเกินไป และ สิ่งนี้ …จากข้อมูลของ ETDA ระบุว่า เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนไทย มีภาวะหมดไฟเพิ่มมากขึ้น คือคำว่าอะไร ? มาร่วมไขคำตอบของคำปริศนากัน 🎯 ตรวจสอบกับ ผศ.อภิสิทธิ์ ศุภกิจเจริญ คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง สัมภาษณ์เมื่อ 6 กันยายน 2567 🔎 ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดย จิรัชยา นวลนิ่มน้อย และ จิราภา อ่อนเกลี้ยง

ชัวร์ก่อนแชร์ : ห้ามใช้ใบก้ามปูสดปลูกต้นไม้ จริงหรือ ?

27 ตุลาคม 2567 – บนโซเชียลมีการแชร์เตือน ห้ามนำใบก้ามปูสดไปปลูกต้นไม้ เพราะจะไปแย่งไนโตรเจน และทำให้ต้นไม้ตายได้ แต่หากจะใช้ต้องผ่านการหมักด้วยจุลินทรีย์ก่อน ต้นไม้ถึงจะเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ หืม ! ชัวร์เหรอ ?  สรุป : ✅ ชัวร์ แชร์ได้ ✅ 🎯 ตรวจสอบกับ ผศ.ดร.ทัศไนย จารุวัฒนพันธ์ อาจารย์ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สัมภาษณ์เมื่อ 15 พฤษภาคม 2567🔎 ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย พีรพล อนุตรโสตถิ์

ชัวร์ก่อนแชร์: ไก่บ้านออกไข่ลดลง ตามแผนดัดแปลงอาหารไก่ จริงหรือ?

29 ตุลาคม 2567แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการขึ้นราคาไข่เผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา โดยอ้างสาเหตุที่ไข่ไก่ในสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้น ตามแผนการที่ร่วมมือกันระหว่างอุตสาหกรรมอาหารไก่และอุตสาหกรรมไข่ไก่ ในการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารไก่อย่างจงใจเพื่อให้ไก่หยุดออกไข่ ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงไก่ในสวนหลังบ้านที่ผลิตไข่ได้น้อยลง และต้องไปซื้อไข่จากผู้ผลิตรายใหญ่ที่โก่งราคาในช่วงที่ไข่ไก่ขาดแคลนระหว่างไข้หวัดนกระบาด บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ไม่มีหลักฐานการเปลี่ยนสูตรอาหารไก่ อย่างไรก็ดี เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารไก่ที่ถูกโจมตีทางออนไลน์ต่างยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนสูตรอาหารไก่แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ด้านการเกษตรในหลายรัฐของสหรัฐฯ ไม่พบรายงานปัญหาการผลิตไข่ไก่ที่เกี่ยวข้องกับอาหารไก่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าการเปลี่ยนสูตรอาหารเป็นเรื่องยาก เพราะมีหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพอาหารไก่ให้เป็นไปตามข้อมูลที่กำหนดไว้บนบรรจุภัณฑ์ แม้ในอดีตจะมีการเรียกคืนอาหารสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดเรื่องการดัดแปลงสูตรอาหารให้ไก่หยุดออกไข่อย่างแน่นอน ปัจจัยทำให้ไก่หยุดออกไข่ ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ทำให้ไก่ในสวนหลังบ้านออกไข่ลดลงมี 2 ปัจจัย ได้แก่ ปริมาณแสงและการผลัดขนไก่ในช่วงฤดูหนาว เคน แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมสัตว์ปีก มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาสเตท อธิบายว่า ไก่จะออกไข่อย่างสม่ำเสมอ หากได้รับปริมาณแสงอย่างน้อย 14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในช่วงฤดูหนาวซึ่งตอนกลางวันสั้นกว่าตอนกลางคืน การเลี้ยงไก่ในสวนหลังบ้านซึ่งพึ่งพาแสงธรรมชาติและไม่สามารถควบคุมปริมาณแสงได้เหมือนอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในระบบปิด จะส่งผลให้ไก่ออกไข่ที่น้อยลงได้ นอกจากนี้ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงที่ไก่ทำการสลัดขน […]

1 40 41 42 43 44 163
...