กรุงเทพฯ 4 พ.ย.-ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนตุลาคม 2564 ที่ปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน อยู่ที่ระดับ 19.9 หลังมีหลายปัจจัยหนุน แนะนัฐบาลยังจำเป็นนำเงินตุ้นเศรษฐกิจไทยอีก 5 แสนล้านบาทในครึ่งปีหน้า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนตุลาคม 2564 ที่ปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน อยู่ที่ระดับ 19.9 โดยยังคงมาจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และการเปิดรับนักท่องเที่ยว เพราะจะทำให้หลายกิจการกลับมาเปิดดำเนินได้ แต่ภาคเอกชน อยากให้ภาครัฐ มีการเตรียมแผนป้องกันความเสี่ยงจากการเปิดประเทศ เร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทั้งประเทศ รวมทั้งเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน และหามาตรการลดต้นทุนของภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ แนวโน้มความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และของภาคธุรกิจ น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังจากนี้ จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะกลับมา รวมทั้งมาตรการผ่อนคลายที่จะทยอยเปิดมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจกลางคืน ที่จะส่งผลดีกับผู้ค้าที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ตลาดนัดกลางคืน หรือ ผู้ขับรถรับจ้าง กลับมาคึกคัก รวมทั้งช่วงปลายปี มีเทศกาลเฉลิมฉลอง จะส่งผลให้คน จะออกมาจับจ่าย และท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งยังมีเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง ประมาณ 1 แสนล้านบาท รวมทั้งจะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่จะส่งผลดีให้เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวได้ร้อยละ 4-5 จึงมองเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขยายตัว ร้อยละ 1-1.5 และทางศูนย์ฯจะประเมินภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีนี้และแนวโน้นปีหน้าอีกครั้งและจะแถลงข่าวในวันที่ 18 พ.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า รัฐบาล ควรผลักดันให้เศรษฐกิจ ขยายตัวได้ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 เพื่อให้ไทย สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้เพิ่มเติม โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องยังคงมีความจำเป็น ทั้งคนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก จะต้องใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ที่กระตุ้นจีดีพีได้ ร้อยละ 3-4 หากรวมกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่อยากให้กลับมาได้ประมาณ 10 ล้านคน รวมทั้งการส่งออกที่ยังดี ขยายตัวได้ร้อยละ 7-10 ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องกู้เงินเพิ่มเติมอีกซึ่งการขยายเพดานหนี้สาธารณะไปที่ ร้อยละ 70 ของจีดีพี จะทำให้สามารถรัฐบาล กู้ได้อีก 1 ล้าน 5 แสนล้านบาท แต่ไม่มีจำเป็นต้องกู้ให้เต็มเพดาน เพราะจะทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการกู้เงินเพิ่มเติมที่ 5 แสนล้านบาทในครึ่งปีแรก ยังเหลือช่องว่าง ที่สามารถกู้เงินได้เพิ่มเติมในกรณที่มีความจำเป็น แต่หากไม่ได้กู้เพิ่มเติม ก็จะส่งผลต่อดีต่อความมั่งคงทางการคลังของประเทศ.-สำนักข่าวไทย