กรุงเทพฯ 15 ก.ค. –“สุพัฒนพงษ์” คุยวัคซีนมาเพิ่มแน่ๆ สร้างความมั่นใจลงทุน แย้มยอดขอบีโอไอสูง ครึ่งปีแรกโตกว่าทั้งปี 63 เตรียมดึงกลุ่มคนศักยภาพสูง 1 ล้านคนซื้ออสังหาฯ เมืองไทย
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยระหว่างการปาฐกถาพิเศษภายในงาน “Restart เศรษฐกิจไทยฝ่าภัยโควิด” ว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)เบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการว่ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.64)ใกล้เคียงกับตัวเลขยอดขอรับส่งเสริมฯทั้งปี 2563 และมีความเป็นไปได้ปีนี้จะสูงกว่าในปี 2562 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย
“รัฐบาลขอยืนยันว่ามีการจัดหาและฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาคเอกชนก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการลงทุน ซึ่งเม.ย.ปี 2563 ตอนนั้นภาพวัคซีนเราแทบไม่มีความหวังเลย แต่วันนี้วัคซีนจะทยอยมาทั้งวัคซีนหลักจากรัฐและวัคซีนทางเลือกจากเอกชน แม้จะชะลอไปบ้างเพราะทั่วโลกก็ต้องการ เราต้องรักษาตัวเองด้วยขอให้เชื่อมั่น ที่สุดเราจะชนะ” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
ทั้งนี้รัฐบาล ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีที่บริหารต่อเนื่องมา 6 ปีได้วางแนวทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 1.2 ล้านล้านบาทเพื่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ หลายด้านเพื่อที่จะผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ในหลายๆ ด้าน เปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมรองรับอนาคตคือ 4Dได้แก่ 1.Digitalization 2.DE carbonization 3.Decentralization 4.D-risk หนึ่งในนี้ก็เป็นการส่งเสริมให้ไทยก้าวสู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาดโดยการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) และแบตเตอรี่โดยคาดว่าในปี 2565 จะเปิดให้ผู้สนใจลงทุนเข้ามาได้เพื่อรักษาการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า เอกชนเห็นอนาคต จากพัฒนาการที่ไทยมีวัคซีนเข้ามามากขึ้น ประกอบกับไทยยังมีจุดแข็ง ระบบสาธารณสุขที่ดีมีอาหารที่ดีราคาไม่แพงเป็นจุดแข็ง เสน่ห์ของการลงทุนการเข้ามาอยู่ในไทย ดังนั้น จึงเตรียม จะเสนอ ครม.เห็นชอบการให้วีซ่าพิเศษกับคน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย กลุ่มเกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ เข้ามาในไทยระยะยาว ด้วยข้อกำหนดซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่ในไทยเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ตั้งเป้ามีต่างชาติมาอาศัยในไทยเพิ่มอีก 1 ล้านคน ใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 2 แสนบาทต่อคน ก็จะมีเม็ดเงินเพิ่มจากการใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้ประมาณ 2 แสนล้านบาท .-สำนักข่าวไทย