กรุงเทพฯ 7 ก.ค. – ก.คมนาคม เร่งนำระบบตั๋วร่วมรูปแบบบัญชีระบุตัวตนผู้โดยสารมาใช้กับ “รถไฟสายสีแดง-ดอนเมืองโทลล์เวย์” ตั้งเป้าใช้งานได้ภายในปีนี้ ส่วนรถไฟฟ้า MRT คาดเปิดให้บริการประชาชนต้นปี 65 พร้อมตั้งคณะอนุกรรมการฯ 2 ชุด พิจารณาเทคโนโลยี พ่วงกำหนดมาตรฐานค่าโดยสาร-การจัดสรรรายได้
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 2/2564 วันนี้ (7 ก.ค.64) ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings ว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะหน่วยงานที่เป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบตั๋วร่วมให้ที่ประชุมได้รับทราบ โดยในขณะนี้กำลังดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วม โดยใช้เทคโนโลยีการใช้บัญชีระบุตัวตนผู้โดยสาร (Account Based Ticketing หรือ ABT)
ทั้งนี้ ในปัจจุบันการออกแบบระบบแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพัฒนาซอฟต์แวร์ และติดตั้งระบบ โดยได้ทำการทดสอบระบบครั้งแรกที่สถานีหัวลำโพง และสถานีสนามไชย เมื่อต้นเดือน ก.ค.64 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า ระบบใช้งานได้ถูกต้อง ตามแผนงานจะดำเนินการทุกอย่างแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2564 และสามารถเปิดให้ประชาชนใช้งานระบบได้ในต้นปี 2565
ขณะที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้รายงานที่ประชุมว่า มีการเริ่มใช้บัตรจ่ายเงินที่ใช้ ABT คล้ายกับที่ รฟม. กำลังพัฒนา โดยเริ่มใช้กับทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ทางพิเศษอุดรรัถยา ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษเฉลิมมหานครไปแล้ว นอกจากนี้ ระบบตั๋วร่วมแบบ ABT อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งเพื่อใช้งานกับรถไฟฟ้าสายสีแดง และทางพิเศษดอนเมืองโทลล์เวย์ โดยคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ภายในสิ้นปี 2564
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้รับทราบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คนต. จำนวน 2 คณะ ได้แก่ 1. คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมองค์กร เพื่อวางแนวการออกแบบมาตรฐานทางเทคโนโลยีระบบตั๋วร่วมให้เป็นแบบ ABT และบัตรที่ใช้เป็นแบบระบบเปิด (Open Loop) รวมถึงการกำหนดกรอบแนวนโยบายการบริหารจัดการตั๋วร่วม มีการแบ่งเป็นส่วนของผู้ใช้บริการ ส่วนของผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ศูนย์กลางจัดการค่าโดยสาร (Central Clearing House) และส่วนผู้ให้บริการชำระเงิน
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว มีการกำหนดแผนการดำเนินการเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในระยะสั้น จะสามารถนำระบบตั๋วร่วมแบบ ABT มาใช้ได้ภายในปี 2564 สำหรับในระยะกลางนั้น จะมีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง เพื่อรองรับการใช้อัตราค่าโดยสารร่วม ภายในปี 2565 และในระยะยาว จะมีการจัดตั้งสำนักงานกลางเพื่อมาทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่องตั๋วร่วม พร้อมประกาศใช้พระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ เพื่อสามารถบังคับใช้ระบบตั๋วร่วมกับผู้ประกอบการระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งที่เป็นของรัฐ และของเอกชน ภายในปี 2566
2. คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและการจัดสรรรายได้ โดยได้รายงานความคืบหน้า พร้อมสรุปปัญหาเรื่องมาตรฐานอัตราค่าโดยสารในปัจจุบัน ได้แก่ การเก็บค่าแรกเข้าในแต่ละสายไม่เท่ากัน การปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารในแต่ละสายไม่เท่ากัน มีการเก็บค่าแรกเข้าทุกครั้งเมื่อมีการเดินทางข้ามระบบ และโครงสร้างอัตราค่าโดยสารไม่สะท้อนกับระยะทาง
ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหาสำหรับสายรถไฟฟ้าที่สัญญาสัมปทานได้ลงนามในสัญญาไปแล้วนั้น คณะอนุกรรมการฯ จะทำการศึกษาหาแนวทางในการแก้ไขสัญญา พร้อมแนวทางการชดเชย กรณีที่มีความจำเป็น แต่สำหรับสายรถไฟฟ้าที่จะมีการลงนามในอนาคต คณะอนุกรรมการฯ จะทำการศึกษาเพื่อกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารที่มีความเหมาะสม เพื่อกำหนดในสัญญาสัมปทานก่อนทำการลงนาม
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน คณะอนุกรรมการฯ ยังได้ทำการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทย และในต่างประเทศ พร้อมทำการวิเคราะห์อัตราค่าโดยสารที่มีความเหมาะสม รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้วเสร็จ ขั้นตอนต่อไปที่ต้องดำเนินการ คือ การสรุปการกำกับดูแลการจัดสรรรายได้ เมื่อมีการใช้อัตราค่าโดยสารร่วม โดยจะสามารถสรุปผลได้ภายในเดือน ก.ย.64
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ตนได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ โดยมอบคณะอนุกรรมการฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น รฟม., กทพ., การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกรมทางหลวง (ทล.) เพื่อร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการด้านสิทธิในทรัพย์สินของระบบบริหารจัดการรายได้กลาง เพื่อรองรับการดำเนินการภายหลังจากมีการจัดตั้งสำนักงานกลางตั๋วร่วมในอนาคต
นอกจากนี้ มอบคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรฐานในการวิเคราะห์รูปแบบการลงทุนต่างๆ รวมถึงพิจารณาทบทวนแนวทางการกำหนดอัตราค่าโดยสาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ และให้คณะอนุกรรมการฯ ร่วมกับธนาคารกรุงไทย พิจารณาแนวทางการลงทุนในระบบ EMV ที่ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ระบบ M-Flow ให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงสุด. – สำนักข่าวไทย