กรุงเทพฯ 30 ธ.ค. – สำนักวิจัยซีไอเอ็มบีไทยปรับประมาณการจีดีพีปีหน้าเติบโต 2.6% จากเดิมที่ 4.1% ประเมินสถานการณ์โควิดระบาดรอบใหม่กระทบ ทั้งการบริโภค-ผู้ประกอบการ หวังคลัง-ธปท.ออกแรงช่วยกระตุ้นอุปสงค์ต่อเนื่อง
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2563 ลงเล็กน้อยจาก -6.6% เป็น -6.7% และในปี 2564 จาก 4.1% เป็น 2.6% โดยเพิ่มสมมติฐานสำคัญสามประการ เรื่องแรกคือ การระบาดของโควิด-19 ลากยาวต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกและการรักษาระยะห่างที่ยังมีความจำเป็นตลอดทั้งปี เรื่องที่สองคือ ปัญหาทางการเมืองที่อาจกลับมากระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภคในปีหน้าหากรัฐสภาและผู้ประท้วงไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว และประการที่สามคือ ความล่าช้าในการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ทั้งจากการระบาดในต่างประเทศ และการที่คนในประเทศยังไม่ได้รับวัคซีน
ทั้งนี้ การกลับมาระบาดของไวรัสโควิดรอบใหม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในประเทศที่มีโอกาสลดลงต่อเนื่องไปถึงกลางปีหน้า ส่งผลกระทบธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง และธุรกิจอื่นที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสแรก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีช่องทางการขายออนไลน์ แม้เศรษฐกิจไทยจะไม่หดตัวรุนแรงเหมือนที่ได้เผชิญการล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา แต่จากการระบาดที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกทั้งผู้ประกอบการที่ขายสินค้าและอาหารได้ลดลงในช่วงที่คนจำนวนมากเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้านทำให้ขาดรายได้ และอาจกระทบการจ้างงาน แม้การว่างงานอาจไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ชั่วโมงการทำงานอาจลดลง ส่งผลให้รายได้นอกภาคเกษตรยังคงอ่อนแอในปี 2564 การบริโภคภาคเอกชนจึงมีโอกาสอ่อนแอลงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าและมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะยังคงซึมยาวตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม แม้การบริโภคในประเทศมีความเสี่ยงหดตัวมากกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสแรกและอาจฟื้นตัวช้า แต่เศรษฐกิจไทยน่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าในปีหน้า โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลในต่างประเทศออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการว่างงานหรือรายได้ที่ลดลงจากโควิด-19 ประกอบกับสภาพคล่องในตลาดการเงินที่มีสูงจากการออกมาตรการคิวอีและดอกเบี้ยต่ำ ได้ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในต่างประเทศฟื้นตัวได้เร็วแม้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงก็ตาม ทั้งนี้ อุปสงค์ต่างประเทศที่ฟื้นตัวเร็วโดยเฉพาะในสหรัฐและจีน จะช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ชิ้นส่วนได้ในปีหน้า ขณะที่สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์และกลุ่มสินค้าเกษตรน่าจะราคาสูงขึ้นกว่าปีนี้ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะช่วยให้การส่งออกของไทยไปอาเซียนดีขึ้นด้วย
นายอมรเทพกล่าวอีกว่า เรามองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่โมเดลทุเรียนอีกครั้ง คือ อุปสงค์ข้างนอกแข็งแกร่งสนับสนุนการส่งออกสินค้า แต่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอกระทบการบริโภคและการจ้างงาน รวมทั้งเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาการฟื้นตัวที่ไม่เสมอภาคกัน หรือ uneven recovery หรือ K-shaped recovery กล่าวคือ คนมีรายได้ระดับกลาง-บน และมนุษย์เงินเดือน และธุรกิจขนาดใหญ่ น่าจะยังสามารถเป็นกำลังหลักในการประคองเศรษฐกิจได้ มีสภาพคล่องล้น แต่อีกด้านคือคนมีรายได้น้อย ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ และธุรกิจขนาดเล็ก น่าจะยังคงประสบปัญหาทางเศรษฐกิจลากยาวไปในปีหน้าจากรายได้ที่ยังคงอ่อนแอตามกำลังซื้อในประเทศ
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนยังคงมุมมองการแข็งค่าของเงินบาทไว้ที่ระดับ 28.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีหน้าจากปัญหาเงินร้อนที่จะทะลักเข้าตลาดทุนไทย ประกอบกับการที่ประเทศไทยยังคงเกินดุลการค้าในระดับที่สูงซึ่งสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าลากยาว ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.25% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ เรามองว่าแม้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงฟื้นตัวช้าในปี 2564 แต่หลังจากคนไทยได้รับวัคซีนมากขึ้นและมีการควบคุมการระบาดได้ดีขึ้นในต่างประเทศ การท่องเที่ยวน่าจะกลับมาและน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเร่งตัวได้ดีขึ้นในปี 2565 . – สำนักข่าวไทย