กรุงเทพฯ 2 พ.ย. – ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองเศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบน้อยลง และจะฟื้นตัวเป็นบวกได้ในปี 64 พร้อมแสดงความกังวลการระบาดรอบ 2 ในไทย และสถานการณ์การเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นายสุธีร์ โล้วโสภณกุล รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดในปีนี้แล้ว โดยเมื่อดูจากไตรมาส 3 มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบน้อยลงอยู่ที่ -7% ถึง -8% จากเดิมที่คาดว่าจะ -10% และเชื่อว่าจะฟื้นตัวได้ในปี 64 หรือ โตได้ประมาณ 3% ถึง 4% ทั้งนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้การทดลองวัคซีนจะประสบความสำเร็จ คือจะสามารถผลิตได้เพียงพอหรือไม่ และจากผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะกลับมาฟื้นได้เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19
พร้อมกันนี้ผู้บริหาร ซีไอเอ็มบี ไทย ยังแสดงความกังวลถึงความเสี่ยงที่ไทยอาจเกิดการระบาดของโควิด -19 รอบ 2 ที่อาจรุนแรงและส่งผลให้ต้องล็อคดาวน์อีกรอบ ขณะที่สถานการณ์การเมืองในประเทศ ยังคาดหวังให้เกิดการประนีประนอมกัน พร้อมมองว่าการมีคณะกรรมการสมานฉันท์จะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่าหากไบเดน ชนะการเลือกตั้ง อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าและมีเงินทุนไหลออกมายังภูมิภาคนี้ ซึ่งไทยก็จะได้รับประโยชน์ด้วย ประกอบกับหากการส่งออกของไทยดีขึ้นและการท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้าไทย ก็จะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็ง เป็นผลดีต่อนักลงทุนไทยที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับผลดำเนินงานรอบ 9 เดือน กลุ่มธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.6% มีกำไรสุทธิ 1,467.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.3% โดยมาจากรายได้การดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตามตัวเลขสินเชื่อใหม่ในภาพรวมลดลง 5.2% จากการคัดกรองกลุ่มลูกหนี้ที่เข้มงวดขึ้น ส่วนตัวเลขหนี้เสีย หรือ NPL เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.5% หรือจาก 4.5% เป็น 5.9% โดยผู้บริหารธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า ตัวเลข NPL ที่เพิ่มขึ้น ไม่น่ากังวลและยังอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ โดยธนาคารมีแผนจะขายหนี้เสียออกไปในปีนี้อีก 3,000 ล้านบาทซึ่งจะทำให้ตัวเลข NPL ในปีนี้ปรับลดลง พร้อมยืนยันธนาคารยังมีความแข็งแกร่ง จากฐานะเงินกองทุนที่สูงเกือบ 20% ซึ่งสูงกว่าที่ทางการกำหนดไว้เกือบ 2 เท่า .-สำนักข่าวไทย