กทม. 28 ส.ค.- ประธาน ส.อ.ท. วิเคราะห์กรณี ชินโซ อาเบะ ลาออกนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของภาคเอกชนญี่ปุ่นในไทย
หลังมีข่าวนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ลาออกจากตำแหน่ง ทีมข่าวสำนักข่าวไทยพูดคุยกับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประไทยถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทย หลังญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนผู้นำ โดยประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประไทยวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนผู้นำครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของญี่ปุ่นในไทย เพราะที่ผ่านมาญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเป็นระยะยาวนาน และแนวโน้มก็มีแต่จะลงทุนเพิ่ม แม้ในอดีตจะเปลี่ยนผู้นำประเทศมาหลายคน แต่นโยบายก็ไม่เปลี่ยน เพราะเมื่อมีการลงทุนแล้วก็จะเดินหน้าเต็มที่ อีกทั้งการตัดสินใจลงทุนก็เป็นกลไกลของภาคเอกชน ซึ่งไม่ได้ส่งผลด้านการเมืองมากนัก เพราะภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่น กับการเมืองไม่ค่อยมีปัญหากัน
ทั้งนี้ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยมาโดยตลอด แต่ช่วงนี้มีปัญหาโควิด-19 การลงทุนชะลอตัวลง คิดว่าในอนาคตการลงทุนระหว่างไทย และญี่ปุ่น จะยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าการล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้มีปัญหาด้านความสะดวก และส่งผลกระทบต่อนักลงทุน ถือเป็นอุปสรรคมากกว่าการเปลี่ยนผู้นำ
มีข้อมูลว่า ช่วงมกราคม–มีนาคม ปีที่แล้ว ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเป็นอันดับ 1 ของจำนวนโครงการ สำหรับการลงทุนต่างชาติทั้งหมด และประเทศญี่ปุ่นยังเป็นคู่ค้าอันดับที่ 2 ของไทย ซึ่งมีมูลค่าการค้ากว่า 1.94 ล้านล้านบาท ปัจจุบันมีนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทย จำนวนกว่า 6,000 กิจการ
ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ 6 เดือน ระหว่างมกราคม ถึงมิถุนายนปีนี้ ประเทศญี่ปุ่นมีจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด 99 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงสุดที่ 22,636 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด.-สำนักข่าวไทย