fbpx

นิด้าคาดเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตร้อยละ 4.0-4.5

กรุงเทพฯ  2 ม.ค.- รัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยวและการส่งออก หนุน เศรษฐกิจไทยปี 61 โตได้ร้อยละ 4.0- 4.5  


นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนักบริหาร (MPPM Executive program) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังเติบโตได้ร้อยละ 4.0 – 4.5 จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 3.8 เนื่องจากแนวโน้มต่างประเทศส่งสัญญาณเชิงบวกทั้งจากฝั่งยุโรปที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และการคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รวมถึงสัญญาณการทำเขตการค้าเสรีหรือ FTA กับประเทศไทย ซึ่งเป็นผลเชิงบวกต่อภาคการค้าและภาคการส่งออกของไทยขณะเดียวกันทางสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีเช่นกันจากการดำเนินนโยบายปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 35 เหลือร้อยละ 21 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนให้เพิ่มสูงขึ้นและประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด จะประกาศปรับดอกเบี้ยนโยบายจากที่อยู่ร้อยละ 1.5  อีก 2-3 ครั้งในปี 2561 นี้

ส่วนคู่ค้าสำคัญของไทยอย่างประเทศญี่ปุ่น ก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประการที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ QE และประเทศจีนมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออก มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายใน ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตต่อเนื่องได้อีกหลายปีโดยประมาณร้อยละ 6.5 – 7 และอาเซียน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย ถือครองสัดส่วนการส่งออกของไทยมากถึงร้อยละ 25.7 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ก็ส่งสัญญาณเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV เฉลี่ยแล้วตลอดทั้งปี กลุ่มอาเซียนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6


นอกจากนี้ กระแสความนิยมของประเทศไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวถึงร้อยละ 20.9 ส่วนในแง่รายได้เติบโตร้อยละ 24.4 โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ที่ยังให้ความสนใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 รองจากยุโรป ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ว่า ปัจจัยภายดังกล่าวจะเป็นผลเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งประเมินว่าในปี 61 ภาคการส่งออกของไทยจะเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6

 


ส่วนปัจจัยบวกในประเทศนั้น ภาครัฐยังคงใช้นโยบายการคลังเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเร่งการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 60 ที่ยังคงค้างอยู่และจัดตั้งงบประมาณปี 61 ที่สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท รวมถึงงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีมากถึง 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศที่มุ่งเป้าไว้ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยภาครัฐมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลหลายโครงการ ที่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้ให้เพิ่ม นอกจากนี้การกำหนดการเลือกตั้งจะส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศและบรรยากาศในการลงทุน และมีผลต่อการขับเคลื่อนภาคการลงทุนที่ขอผ่านทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับประเด็นที่ต้องระมัดระวังในปี 61 คือ เศรษฐกิจฐานรากของไทยที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่เป็น เพราะสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าภาครัฐจะเร่งรัดลงทุนหลายโครงการเป็นจำนวนมาก แต่การกระจายตัวเม็ดเงินของรายได้ยังไม่ดีนัก รวมถึงการกระจายตัวของประโยชน์จากนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ซึ่งหากสามารถดำเนินการแก้ไขในจุดเหล่านี้ได้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 61  สดใสมากขึ้น

“ภาพรวมปีนี้ หากรัฐบาลลุยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงบลงทุนผ่านการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดิน การเร่งดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมชัดเจน ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการเลือกตั้ง มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีและเกษตรกร และเงื่อนไข AEC ที่ยังคงเป็นโอกาสและเป็นผลเชิงบวกต่อการลงทุนให้กับประเทศได้ คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตได้ดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน” รศ.ดร.มนตรี กล่าว

ขณะที่การคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับร้อยละ 1.5 ส่วนระดับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 – 1.5 และค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ในระดับ 31 – 33 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ และ SET index น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,875  – 1,925 จุด นับว่าเป็นสถิติของตลาดหลักที่สูงที่สุดตั้งเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบศพโบลท์หญิงวัย 47 ในป่าหญ้าริมทาง คาดถูกฆ่าชิงรถ

โบลท์หญิงวัย 47 ปี หายตัวจากบ้านพักย่านดินแดง 9 วัน ล่าสุดพบเป็นศพในป่าหญ้าริมถนนสายนครชัยศรี-ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ส่วนรถยนต์โผล่ที่ จ.ภูเก็ต คาดถูกคนร้ายฆ่าชิงรถ

pagers on display

ทำไมยังมีการใช้ “เพจเจอร์” ในยุคสมาร์ทโฟน

ลอนดอน 19 ก.ย.- เพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวเป็นอุปกรณ์การสื่อสารยอดนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่ต้องหลีกทางให้แก่โทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ยังคงมีการใช้งานในบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เพจเจอร์ระเบิดพร้อมกันหลายพันเครื่องทั่วเลบานอนเมื่อวันที่ 17 กันยายน แหล่งข่าวเผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้เพจเจอร์ เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารเทคโนโลยีต่ำ ส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุ จึงตรวจจับสัญญาณและตำแหน่งได้ยากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ส่งสัญญาณไปยังเสาส่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งไม่มีเทคโนโลยีระบุพิกัดบนพื้นโลกอย่างจีพีเอสด้วย อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) ของสหรัฐเผยว่า ในอดีตแก๊งอาชญากรรมโดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในสหรัฐเคยนิยมใช้เพจเจอร์ แต่ขณะนี้หันมาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินราคาถูกที่สามารถเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขได้อย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยได้ยาก อย่างไรก็ดี  ศัลยแพทย์โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเผยว่า เพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์และพยาบาลสังกัดสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติหรือเอ็นเอชเอส (NHS) ต้องพกติดตัวอยู่เสมอ เพื่อรับแจ้งข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นช่องทางที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแจ้งข่าวทางเดียวกับคนจำนวนมาก เพจเจอร์หลายรุ่นสามารถส่งเสียงไซเรนและมีข้อความเสียงแจ้งให้ทีมแพทย์ไปรวมตัวที่ห้องฉุกเฉินได้ทันที ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ระบุว่า เอ็นเอชเอสใช้เพจเจอร์ประมาณ 130,000 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของที่ใช้ทั่วโลก คอกนิทีฟมาร์เก็ตรีเสิร์ช  (Cognitive Market Research) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยคาดการณ์ว่า ตลาดเพจเจอร์จะเติบโตร้อยละ 5.9 ต่อปี จากปี 2566 ถึงปี 2573 […]

ข่าวแนะนำ

ชีวิตติดลบ! ชาวแม่สายจมน้ำจมโคลน 10 วันแทบหมดตัว

หลายชุมชนชายแดนแม่สาย เผชิญน้ำท่วมและจมโคลนมา 10 วันแล้ว อยู่ในสภาพแทบหมดตัว ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กับชีวิตที่ต้องติดลบจากน้ำท่วมครั้งนี้

อาลัย “อดีตแข้ง U19” ขับเบนซ์พลิกคว่ำดับพร้อมภรรยา

วงการลูกหนังอาลัย “อดีตนักเตะ U19” ขับเบนซ์พลิกคว่ำดับพร้อมภรรยา ชาวบ้านเผยจุดนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อย ลงสะพานอย่าขับเร็ว

สอบเพิ่ม “ไอ้แม็ก” ฆ่าชิงทรัพย์หญิงขับโบลท์ ฝากขังพรุ่งนี้

ตำรวจคุมตัว “ไอ้แม็ก” สอบปากคำเพิ่มคดีฆ่าชิงทรัพย์โชเฟอร์สาวขับโบลท์ เจ้าตัวปฏิเสธไปชี้จุด อ้างปวดท้องไม่สบาย เตรียมฝากขังพรุ่งนี้