กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) มองเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed และเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่เอเชีย หลังตัวเลขจ้างงานอ่อนแอ คาด กนง.ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 19% พบว่าเงินบาทอ่อนค่าเพียงเล็กน้อยตามที่ได้ประเมินไว้ โดยเงินบาทอ่อนค่าเพียงราว 10 สตางค์ ซึ่งน้อยกว่าในรอบก่อน ที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% ซึ่ง Reaction ของเงินบาทต่อมาตรการภาษีนำเข้ารอบนี้มีน้อย เพราะตลาดได้คาดการณ์ไว้แล้ว และอัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชานั้น ล่าสุดตลาดได้มองข้ามไปแล้วหลังไทยมีการเจรจาหยุดยิงไป แม้การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ก็เป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกได้ขาย USDTHB ตามที่ได้แนะนำไว้ในรอบที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ล่าสุดเงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลังเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ออกมาแย่ลงและแย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้นักลงทุนมองว่า Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มขึ้น และอาจลดได้ตั้งแต่เดือน ก.ย. (ในการประชุมครั้งถัดไป) ซึ่งเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้ US Treasury yields ปรับลดลงแรง (ราว 20-30 bps ทั้งใน Yields สั้นและ Yields ยาว) และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเร็ว เงินบาทกลับมาแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่นในภูมิภาค รวมถึงเงินยูโรและเงินเยนก็แข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์เช่นกัน สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจกระทบเงินบาทอีกคือ ราคาทอง และราคาน้ำมัน โดยความเสี่ยงภูมิศาสตร์โลก (Geopolitics) กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังมีการโต้เถียงระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และอดีตประธานาธิบดีรัสเซียเมดเวเดฟผ่านสื่อออนไลน์ ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ส่วนการประชุม OPEC+ ล่าสุดที่มีประกาศว่าจะขุดเจาะน้ำมันดิบเพิ่มในเดือนหน้า ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง ซึ่งราคาทองคำที่สูงขึ้นและน้ำมันดิบลดลง ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า
ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อไปได้ มองกรอบระยะสั้นราว 32.00-32.50 เนื่องจาก สหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า (Tariffs) มากกว่าประเทศอื่น เพราะ Tariffs ถูกเรียกเก็บเป็นวงกว้าง , Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องและมากกว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อาจแคบลง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลักอื่น เช่น ยูโร , เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าเอเชียต่อได้ จากเลขเงินเฟ้อที่ยังต่ำและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่อได้ (ทำให้มี capital gains จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาล) นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลกเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของเอเชีย
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลงแรง หลังเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาดมาก โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง เลขการจ้างงานเดือน มิ.ย. และ พ.ค. ยังถูกปรับลดลง (revised down) ซึ่งเหนือความคาดหมายไปมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลงกว่าที่ Fed ประเมิน ซึ่งจะทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น โดยมีโอกาสเริ่มลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ และอีกครั้งในเดือนธันวาคม ในขณะที่ปีหน้าอาจลดดอกเบี้ยต่อได้อีก 2-3 ครั้ง เพื่อเข้าสู่ Terminal rate ที่ราว 3.25-3.50%
สำหรับมุมมองตลาดดอกเบี้ยไทย ผู้ว่าฯ ธปท. ท่านใหม่ยังมีมุมมองว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นสิ่งจำเป็น แม้ไทยจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้วก็ตาม จึงมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 รวมกัน 2 ครั้ง โดยหาก กนง. ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ส.ค. นี้ (ขณะนี้ตลาดให้โอกาสราว 70%) จะทำให้ TH Govt bond yields ปรับลดลงอีกได้ แต่หาก กนง. ยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ ก็จะเป็นจังหวะให้นักลงทุน Receive THOR OIS 5Y ที่ระดับราว 1.32% หรือสูงกว่าได้ สำหรับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่าไม่ส่งผลต่อ TH Government bond yields มากนัก และไม่เห็นการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากตลาดบอนด์ไทยมีนัยสำคัญ. -511-สำนักข่าวไทย