กรุงเทพฯ 14 ก.ค.- เงินบาทผันผวนเหตุภาษี “ทรัมป์” แนะ ผู้เล่นเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ด้านราคาทองคำขยับขึ้นอีก หลังจากทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษี 30% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก
เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.43-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.42 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้าที่ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ..
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย.เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีการค้าของ ประธานนาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ อย่างไรก็ดี คงต้องระมัดระวังความผันผวนที่อาจจะกลับไปอ่อนค่าในระหว่างวัน เนื่องจาก Sentiment ของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคขยับอ่อนค่าลง เนื่องจากสัญญาณความตึงเครียดทางการค้ากลับมาเพิ่มสูงขึ้น หลัง ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดา สหภาพยุโรป และประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ รวมถึงอาจจะปรับเพิ่มอัตราภาษีพื้นฐานขึ้นจาก 10% ในปัจจุบันด้วย
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่าเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.10-32.80 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 32.52 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 32.40-32.72 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้ายกระดับความตึงเครียดทางการค้าด้วยการประกาศภาษีนำเข้ากับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในอัตรา 25% รวมถึงสินค้าจากแคนาดาในอัตรา 35% โดยให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม ส่วนไทยจะถูกเรียกเก็บภาษี 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่สหรัฐฯประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน นอกจากนี้ ทรัมป์ยังดำเนินนโยบายภาษีตอบโต้รายภาคอุตสาหกรรม เช่น ทองแดงและเภสัชกรรม อีกทั้งเรียกเก็บภาษีศุลกากร 50% กับบราซิลซึ่งไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่เคยประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน และบราซิลขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้มาตรการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการใช้กำแพงภาษีเพื่อเหตุผลทางการเมือง
ทรัมป์ระบุว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปและเม็กซิโกที่อัตรา 30% ขณะที่ภาษี 36% กับไทยถือเป็นหนึ่งในอัตราภาษีสูงสุดในเอเซีย นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามข้อมูลเงินเฟ้อและยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนของสหรัฐฯเพื่อประเมินจังหวะเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.80 บาท/ดอลลาร์ แนะ ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดรอติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เดือนมิถุนายนของไทย ที่อาจยังสามารถขยายตัวในเกิน +15% จากอานิสงส์การเร่งนำเข้าสินค้าจากไทย ก่อนเผชิญมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีของไทย ตามแนวโน้มการเติบโตของ Data Center อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้ ยอดการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
โดยโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลง เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หากราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน) ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจยังคงเป็นปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์ในช่วงระยะสั้นต่อไป
ด้าน ราาคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ (14 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษี 30% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป เช้านี้เวลาประมาณ 07.00น. COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 20 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 3,384.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนราคาทองไทย เวลา 09.47 น. สมาคมค้าทองคำประกาศขยับขึ้น 2 ครั้งรวม 100 บาท โดย ราคาทองแท่งขายออก 51,550 บาท/บาททองคำ ทองสำเร็จรูปขายออกบาทละ 52,350 บาท / 511 สำนักข่าวไทย