จากด่านสู่ดุลอำนาจ : ไทย-กัมพูชา กับบทบาทใหม่ของเศรษฐกิจ

จากด่านสู่ดุลอำนาจ

ใครพึ่งใคร? – วิเคราะห์แรงกดดันเศรษฐกิจชายแดนต่อกัมพูชา หลังไทยจำกัดการข้ามแดน


กรณีพิพาทบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แม้เคยเกิดเหตุปะทะเล็กน้อยระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย แต่ในเวลาต่อมา กัมพูชาตัดสินใจถอยกำลังออกจากพื้นที่ โดยไม่มีการยกระดับความขัดแย้ง กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของ “ความมั่นคงยุคใหม่” ที่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเป็นตัวตัดสิน

หากแต่เกิดจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ไทยเลือกใช้ แทนการเผชิญหน้าด้วยแสนยานุภาพ ผ่าน “มาตรการจำกัดการข้ามแดน” ที่บีบช่องทางการเคลื่อนย้ายคน สินค้า และระบบโลจิสติกส์ โดยเฉพาะที่ด่านอรัญประเทศ – จุดยุทธศาสตร์ซึ่งถือเป็นหัวใจของการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา


จุดเปลี่ยน : เมื่อเศรษฐกิจกลายเป็นเครื่องมือของความมั่นคง
ไทยเลือกใช้ “แรงบีบเชิงเศรษฐกิจโดยสันติวิธี” เป็นกลยุทธ์กดดันคู่ขนานกับการเจรจา ผ่านมาตรการสำคัญ ได้แก่ :

  1. ห้ามคนไทยเดินทางไปเล่นพนันในฝั่งปอยเปต ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของกัมพูชา
  2. จำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน สำหรับบุคคลและยานพาหนะ
  3. เพิ่มการควบคุมการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสินค้าที่เสี่ยงผิดกฎหมาย

ไทยยังส่งสัญญาณชัดว่า พร้อมจะยกระดับมาตรการเหล่านี้ หากสถานการณ์ตามแนวชายแดนยังตึงเครียด มาตรการซึ่งสำหรับกัมพูชาแล้ว เปรียบเสมือนกดทับ “เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ” ของฝั่งตะวันตกที่ต้องพึ่งพาการค้าข้ามแดนจากไทยเป็นหลัก

ไทย : ผู้ถือ “กุญแจด่าน” และพลังการค้าข้ามพรมแดน
ข้อได้เปรียบของไทยยิ่งชัดเจน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการค้า
ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ (เมษายน 2568) ระบุว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวม 64,612 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น 12.3% จากปีก่อน โดยไทยได้เปรียบดุลการค้าถึง 35,838 ล้านบาท


  • ส่งออกจากไทย: 50,225 ล้านบาท (+9.7%)
  • นำเข้าจากกัมพูชา: 14,387 ล้านบาท (+22.4%)

สินค้าหลักจากไทย เช่น เครื่องดื่ม นม น้ำตาล อะไหล่ยานยนต์ และเครื่องจักรกลการเกษตร ล้วนเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริโภคของประชาชนและอุตสาหกรรมพื้นฐานในกัมพูชา

จุดยุทธศาสตร์ : ด่านและโครงข่ายผ่านแดน
(ข้อมูลจากกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ไทยมีจุดผ่านแดนกับกัมพูชารวม 18 แห่ง ใน 7 จังหวัดชายแดน แบ่งเป็น :

  • ด่านถาวร 8 แห่ง
  • จุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง
  • จุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง (ปัจจุบันปิดชั่วคราว)

ด่านอรัญประเทศเพียงแห่งเดียว คิดเป็น 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดน หากรวมกับด่านคลองใหญ่และบ้านผักกาด จะครอบคลุมมูลค่ารวมกว่า 95% ของการค้าทั้งระบบ ซึ่งหมายความว่า หากด่านเหล่านี้ถูกจำกัดหรือปิด จะส่งผลสะเทือนต่อระบบการค้าและโลจิสติกส์ของกัมพูชาอย่างรุนแรง

เส้นเลือดใหญ่ที่ถูกบีบ : แรงกระเพื่อมถึงกัมพูชา
ผลกระทบจากมาตรการฝั่งไทยจะสะเทือนสู่กัมพูชาในหลายมิติ :

  • ตลาดบริโภคฝั่งกัมพูชาจะขาดแคลนสินค้าจำเป็น เช่น นม น้ำตาล เครื่องดื่ม
  • โลจิสติกส์ต้องเบี่ยงเส้นทาง ทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มสูง
  • อุตสาหกรรมในกัมพูชาสะดุด โดยเฉพาะภาคเกษตรและยานยนต์
  • เมืองกาสิโนฝั่งกัมพูชา เช่น ปอยเปต สูญเสียรายได้จากนักพนันชาวไทย

คำตอบของกัมพูชา : ไทยก็ต้องพึ่งเรา
สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ระบุว่า ไทยส่งออกไปกัมพูชากว่า 5.2 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กัมพูชาส่งออกเพียง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ไทยได้เปรียบดุลการค้ากว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ พร้อมเตือนว่า หากไทยยังใช้มาตรการจำกัดต่อเนื่อง สินค้าไทยอาจไม่สามารถเข้าถึงตลาดกัมพูชาได้ และเกษตรกรไทยเองอาจได้รับผลกระทบ

กัมพูชา : ทั้งตลาดปลายทางและซัพพลายเออร์วัตถุดิบ
แม้กัมพูชาจะเป็นตลาดส่งออกของไทยที่ได้เปรียบ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของไทย โดยเฉพาะสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เศษโลหะสำหรับอุตสาหกรรมรีไซเคิล ลวดสายไฟซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การจำกัดด่านจึงไม่เพียงบีบกัมพูชา แต่ย้อนกระทบห่วงโซ่อุตสาหกรรมของไทยเช่นกัน

การประเมินผลกระทบ : รายงานจากกระทรวงพาณิชย์
แบ่งตามช่วงเวลาออกเป็น 3 ระยะ:

  • ระยะสั้น (0–3 เดือน): ตลาดหยุดชะงัก โลจิสติกส์สะดุด ธุรกิจรายย่อยกระทบ
  • ระยะกลาง (3–12 เดือน): ผู้ส่งออกต้องปรับตัว ต้นทุนการผลิตพุ่ง
  • ระยะยาว (1 ปีขึ้นไป): นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ไทยอาจเสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค

เศรษฐกิจ…คือเครื่องมือของอำนาจในโลกใหม่
มาตรการจำกัดการข้ามแดนของไทยในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงมาตรการควบคุมชายแดน หากแต่คือการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือกดดันในรูปแบบ Soft Security ที่ไม่ต้องใช้กำลังทหาร แต่ส่งผลทางยุทธศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อไทยเดินเกมเศรษฐกิจ กัมพูชาก็เลือกจะ “ถอยกำลัง” โดยไร้เสียงปืน นั่นคือผลลัพธ์ของการวัดอำนาจรูปแบบใหม่

และในโลกที่เส้นแบ่งระหว่าง “ความมั่นคง” กับ “เศรษฐกิจ” เริ่มพร่าเลือน ด่านพรมแดนจึงไม่ใช่แค่ช่องทางการเดินทาง แต่กลายเป็นหมุดวัดแรงกดดันระหว่างรัฐ และเป็นจุดตัดที่ย้อนถามอย่างจริงจังว่า ใครพึ่งใคร?

ในการเผชิญหน้า ณ ชายแดนช่องบกครั้งนี้ “เศรษฐกิจ…คือ กลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในสมรภูมิที่เสียงปืนเคยดัง – แรงกดดันเงียบ ก็อาจเปลี่ยนเกมได้ทั้งกระดาน”. – สำนักข่าวไทย

บทความโดย :
มนภา ศิริสมบูรณ์
ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจสำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบร่างพลทหารรัวยิงชาวบ้านแล้ว คาดจบชีวิตตัวเองในป่า

15 ส.ค.- พบร่างพลทหารที่ก่อเหตุยิงชาวบ้านแล้ว คาดใช้อาวุธปืนจบชีวิตตัวเอง ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร อยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ นำร่างผู้เสียชีวิตออกมา เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. พบร่างพลทหารที่ก่อเหตุยิงชาวบ้านแล้ว คาดใช้อาวุธปืนจบชีวิตตัวเอง ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร ซึ่งเป็นป่าติดกับคลองส่งน้ำ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ นำร่างผู้เสียชีวิตออกมาส่งพิสูจน์ทราบต่อไป ด้านครอบครัวที่มาเฝ้ารอ ต่างเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น – สำนักข่าวไทย

ทบ.แจงเหตุทหารรัวยิงชาวบ้านกาบเชิง เจ็บ 2 ยังคุมตัวไม่ได้

15 ส.ค.- กองทัพบกแจงเหตุทหารหนีออกจากหน่วยพร้อมอาวุธปืน รัวยิงกลางดึก ชาวบ้านกาบเชิง เจ็บ 2 ราย จนท.เร่งล่า ยังไม่พบตัว หากประชาชนพบเห็นรีบแจ้งทันที กองทัพบกชี้แจงเหตุการณ์ใช้อาวุธปืนในพื้นที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 00.45 น. กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ยินเสียงปืนดังเป็นชุด จำนวน 10 นัด บริเวณถนนข้างวัดบ้านเขื่อนแก้ว อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาเวลา 00.54 น. ได้ยินเสียงปืนเพิ่มอีก 2 นัด จากการตรวจสอบกำลังพลและอาวุธประจำกาย พบว่า พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ออกจากที่ตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมอาวุธปืนเล็กยาวและกระสุนจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ได้แก่ ผู้บาดเจ็บทั้งสองรายได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและส่งโรงพยาบาลกาบเชิง ก่อนส่งต่อรักษาตามความเหมาะสม โดยขณะนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจร่วมกับกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ตรวจสอบพื้นที่และสอบถามพยาน เบื้องต้นคาดว่าพลทหารดังกล่าวอาจเป็นผู้ก่อเหตุ […]

แจ้งจับ “ภูมิธรรม” ปล่อยกัมพูชารุกราน ทำไทยเสียเปรียบ

ขอนแก่น 15 ส.ค. – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น แจ้งความเอาผิด “ภูมิธรรม” รักษาการนายกฯ ไม่ทำหน้าที่ตัวเอง ปล่อยกัมพูชารุกรานไทย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเอาผิด นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในข้อหาหรือฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.119, ม.120, ม.124 ม.157 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง นายตุลย์ ประเสริฐศิลป์ ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่นภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า การมาร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้ ด้วยเรื่องเอกราชและอธิปไตยของชาติเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด แต่รักษาการนายกฯ ไม่ได้ทำหน้าที่ตัวเอง โดยปล่อยปละละเลยทำให้ต่างชาติรุกรานประเทศไทย ต้องปกป้องรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติให้มั่นคง แต่ที่ทหารขาขาด บาดเจ็บ ประชาชนล้มตายทรัพย์สินเสียหาย คือ ความร้ายแรงของของผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีต้องทำและต้องปกป้องให้ได้ แต่ไม่มี มีแต่ไปเข้าข้างศัตรูโดยเฉพาะกัมพูชา เป็นโทษร้ายแรงมาก.-สำนักข่าวไทย

“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท

รัฐสภา 15 ส.ค.-“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ตั้งคำถามหลายรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดี จะมาตั้งของบอีกทำไม นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ว่า ในเอกสารงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่าย มาตรา 29 มีรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งของบประมาณรวมกันทั้งสิ้น 79,298 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งในรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งที่ของบประมาณมาตนไม่ค่อยติดใจ เพราะมีรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งไม่มีรายได้ อีกส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินจำนวนมาก เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย นายวีระ ฝากไปถึงคนที่ต้องจัดการรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหารัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดว่า รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปในสภาพแบบนั้น หรือ จะดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดภาระการคลังในอนาคตอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สำหรับกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ โดยที่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 40% แต่ไม่มีสถานะภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป […]

ข่าวแนะนำ

ผ่านฉลุย สภาฯ ไฟเขียวงบ 69 เห็นชอบ 257 : 230

รัฐสภา 15 ส.ค.- ผ่านฉลุย สภาฯ ไฟเขียวงบ 69 เห็นชอบ 257 ต่อ 230 ด้าน ‘พิชัย’ ขอบคุณสภาฯ ยันจะใช้งบให้ตรงตามวัตถุประสงค์โปร่งใส-เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีการตั้งวงเงินงบประมาณ จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ประชุมสภาฯ ใช้เวลาอภิปรายตลอด 3 วัน ระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม และลงมติเมื่อเวลา 22.50 น. ผลปรากฏว่า จากจำนวนสมาชิก 487 เสียง เห็นด้วย 257 เสียง ไม่เห็นด้วย 230 เสียง งดออกเสียง 1 […]

พลทหารยิงชาวบ้านเจ็บ 2 ก่อนหนีเข้าป่า จบชีวิตตัวเอง

สุรินทร์ 15 ส.ค. – ตื่นตระหนก เหตุพลทหารที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ควงปืนอาวุธประจำกาย ออกมายิงชาวบ้าน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ก่อนจะหลบหนี และสุดท้ายปลิดชีพตนเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุ ติดตามได้จากรายงานของศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.-สำนักข่าวไทย

ไล่ล่าโจรชิงทอง 123 บาท กลางห้างย่านบางบ่อ

สมุทรปราการ 15 ส.ค. – ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เรียกประชุมตำรวจที่เกี่ยวข้อง แกะรอยหาเบาะแส ไล่ล่าโจรชิงทองห้างย่านบางบ่อ ยืนยันจำนวนทอง 123 บาท มูลค่ากว่า 6 ล้าน ขณะที่พนักงานยังผวาทุกครั้งที่เห็นคนใส่ชุดไรเดอร์เดินเข้าห้าง จากเหตุการณ์คนร้ายแต่งกายด้วยชุดไรเดอร์ สวมกางกางยีนขายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาว เดินเท้าบุกเดี่ยวมาที่ร้านทอง แล้วชักอาวุธปืนพกแบบออโตเมติก สีบอร์นซ์ ขู่บังคับให้พนักงานขายทองซึ่งเป็นหญิง 3 คน หยิบทองรูปพรรณส่งให้คนร้าย แต่พนักงานขายทองไม่หยิบส่งให้ และหมอบลงกับพื้น คนร้ายจึงกระโดดข้ามตู้ทองด้านหน้าร้าน ไปเลื่อนกระจกตู้ทองด้านหลัง หยิบเอาทองคำรูปพรรณ มีสร้อยข้อมือ หนัก 5 บาท 5 เส้น น้ำหนัก 25 บาท น้ำหนัก 3 บาท 30 เส้น น้ำหนักรวม 90 บาท, หนัก 2 บาท 24 เส้น รวม 48 บาท […]

ย้าย “ลุงพล” มาคุมขังต่อที่เรือนจำกลางนครพนม

15 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ย้ายตัว “ลุงพล” จำเลยคดีน้องชมพู่ ไปควบคุมต่อที่เรือนจำกลางนครพนม ด้าน “ป้าแต๋น” ตามมาเยี่ยมให้กำลังใจสามี บอกเอาหัวใจมาฝาก ยืนยันลุงพลสู้ต่อถึงฎีกา หลังเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” จำเลยที่ 1 จาก 20 ปี เป็น 26 ปี และยกฟ้อง นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ในคดีฆ่า เด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ หลังหายตัวจากบ้านพัก ขณะนั่งเล่นกับพี่สาวที่บ้าน กกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เหตุเกิดช่วงเช้าวันที่ 11 พ.ค.2563 ต่อมาจำเลย ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว และวานนี้ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัว […]