กรุงเทพฯ 9 มิ.ย. – สภาพัฒน์ฯ เผยภาวะสังไทย ไตรมาส 1/68 ชี้เด็กจบใหม่ยังเสี่ยงตกงาน แม้อัตราว่างงานลดเหลือ 0.88% ท่ามกลางเอสเอ็มอีทยอยปิดตัวมากขึ้นเพราะแข่งขันยาก ผลสำรวจยังพบคนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู เสี่ยงติดหนี้เพิ่ม
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่าตัวเลขการจ้างงานลดลง 0.5% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.88% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า (และลดลงจากช่วงไตรมาส 1 ปี 2567) หนี้สินครัวเรือน เพิ่มขึ้น 0.2% การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น 64.1%
สำหรับตัวเลขผู้มีงานทำอยู่ที่ 39.4 ล้านน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมมีการจ้างงานลดลงต่อเนื่อง ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อย โดยเฉพาะสาขาโรงแรมและภัตตาคารยังคงขยายตัวได้ที่ 3.5% แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มลดลง เช่นเดียวกับสาขาการขนส่งและเก็บสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง 4.5% ขณะที่การจ้างงานในสาขาการผลิตเริ่มหดตัวลงเล็กน้อยที่ 0.4% ส่วนเด็กจบใหม่อาจเสี่ยงตกงาน โดยพบว่ามีสัดส่วนผู้ว่างงานในกลุ่มที่อุดมศึกษาสูงถึง 131,600 คน หรือ 1.84% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในทุกระดับการศึกษา ขณะเดียวกันจำนวนแรงงานที่อยู่ในภาวะการทำงานต่ำกว่าศักยภาพ (Underemployment) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการค้าและบริการ สะท้อนถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ผู้ประกอบการไทยเกิดปัญหาด้านการแข่งขันและมีผลต่อกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อย่างชัดเจน โดยในช่วงที่ผ่านมา มี SMEs ปิดกิจการกว่า 24,000 แห่ง และโรงงานอีก 1,234 แห่ง

แนวโน้มของกลุ่มเด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงานสูง โดยผลการสำรวจผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลในสหรัฐอเมริกา ของ Hult International Business School ร่วมกับ Workplace Intelligence พบว่า ผู้บริหารกว่า 89% มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ ซึ่งเกินกว่าครึ่งมองว่า
– เด็กจบใหม่ยังขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง (60%)
– ไม่มีทักษะที่เหมาะสม (51%)
– ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม (55%)
– มีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก (50%)
ดังนั้นกลุ่มผู้บริหารเลือกที่จะจ้างฟรีแลนซ์ หรือพนักงานที่เกษียณไปแล้วแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่างต่อไป ประเด็นเหล่านี้ยังสอดคล้องกับมุมมองของผู้ประกอบการไทย จากข้อมูลการวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงานออนไลน์ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ที่พบว่า มีตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครเพียง 22.3% ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงานจากผู้สมัคร
ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการมีทักษะและความเข้าใจในการทำงานจริง สอดคล้องกับอัตราการว่างงานในแรงงานกลุ่มอายุน้อย และแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แรงงานจบใหม่ จึงควรเตรียมความพร้อมตนเองให้เหมาะสม ทั้งในด้านทักษะที่จำเป็นต่อสายงานและทัศนคติต่อโลกการทำงาน ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด รวมถึงส่งเสริมการฝึกงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริงให้แก่นักศึกษา
ด้านสถานการณ์หนี้สินครัวเรือน (ไตรมาส 4/2567) มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวในอัตราชะลอลง 0.2% ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่หดติดต่อกัน สาเหตุจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลง 88.4% จาก 88.9% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.คนไทยมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรู อาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2567 พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม อาทิ อาหารเครื่องดื่ม บัตรคอนเสิร์ต บริการเสริมความงาม ของสะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว โดยสาเหตุมาจากความต้องการได้รับการยอมรับและได้แสดงสถานะทางสังคม
โดยเพศชายมีความต้องการโดดเด่นที่มากกว่าเพศหญิง ซึ่งสินค้าที่นิยมซื้อแบบติดหรู ได้แก่ อุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่เพศหญิงนิยมซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยในสัดส่วน 50% มีเงินออมสำหรับยามฉุกเฉินน้อยกว่า 6 เดือน ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม. -511-สำนักข่าวไทย