กรุงเทพฯ 4 มิ.ย. – “พิชัย” คาดมีผู้สมัครผู้ว่าการ ธปท. 6-7 คน ยันไม่ได้ทาบทามใครเป็นพิเศษ เผยเจรจาสหรัฐคืบหน้า ไม่ปิดกันเจรจาออนไลน์ เน้นได้ประโยชน์ทั้งสองประเทศ ชี้นักลงทุนสนใจลงทุนในไทย แต่ยังติดปัญหาค่าไฟแพง-โลจิสติกส์ ต้องเร่งสร้างแรงจูงใจ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมารับหน้าที่ต่อจากนายเศรษฐพุฒิ สุธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบัน ที่จะครบวาระวันที่ 30 ก.ย.2568 โดยกระบวนการสรรหาจะรับสมัครถึงวันนี้ (4 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นรายชื่อ คาดว่าจะมีผู้สมัคร 6-7 คน ซึ่งจะรู้รายชื่อช่วงเย็นนี้หลังเสร็จสิ้นการปิดรับสมัคร ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร โดยคณะกรรมการคัดเลือก ซึ่งได้มีการกำหนดการประชุมเบื้องต้นไว้แล้ว เพื่อให้เหลือ ผู้สมัคร 2 ราย ยอมรับว่ามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้สมัครบางคน แต่ส่วนตัวไม่ได้ทาบทามใครเป็นพิเศษ ซึ่งหลังจากนี้ต้องรอการดำเนินการตามขั้นตอน
นายพิชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงมีการดำเนินการต่อเนื่อง โดยมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสภาพการณ์ เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งสองประเทศ ส่วนกรณีที่เฟซบุ๊กของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ มีโอกาสพบและหารือกับนายเจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีของคณะมนตรีองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ว่า มีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาออนไลน์ระหว่างกันโดยเร็ว นายพิชัย ระบุว่าก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่คงต้องรอให้สหรัฐฯ แจ้งกลับมาว่าจะมีการพูดคุยภายใต้เงื่อนไขอย่างไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติมถึงกรณีภาษีเหล็กที่ถูกจัดเก็บเพิ่มขึ้น 50% จะส่งผลต่อประเทศไทยอย่างไร นายพิชัย ระบุว่า หากเพิ่มขึ้น 50% ทั่วโลกก็ไม่เป็นไร ซึ่งทุกประเทศก็เจอปัญหาเหมือนกัน
นอกจากนี้ นายพิชัย ยังได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ THAILAND TRANSFORMATION FOR THE NEXT DECADE ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่ ในงานสัมมนา THAILAND C VISION SUMMIT 2025 จัดโดย BUSSINESS+ โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ไทยจะต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อน
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้มากกว่า 6 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 30-34% ต่อจีดีพี ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( BOI) เผย ผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนและได้รับการอนุมัติในปี 2567 ที่ผ่านมา อยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาท เป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ปี่ 2568 เฉพาะไตรมาส 1 ปี มีเงินลงทุนแล้วมากกว่า 5-6 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ยังมีนักลงทุนอีกมากที่สนใจอยากจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ยังติดปัญหา ได้แก่ ต้นทุนราคาไฟฟ้าที่สูงกว่าประเทศอื่น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน ด้านโลจิสติกส์ เช่น รถไฟความเร็วสูง และการเดินหน้าพัฒนาพื้นที่อีอีซี เป็นต้น รวมไปถึงการสนับสนุนด้านพลังงานสะอาด โดยมองว่าไทยต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนมากกว่านี้.-516-สำนักข่าวไทย