กรุงเทพฯ 26 พ.ค.- ”พิชัย“ ยืนยันหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ แต่ต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน เล็งทบทวนกฎหมายให้อำนาจ ตลท. ร่วมสอบสวนการกระทำผิด สั่ง สศช.จัดลำดับใช้งบ 4 ล้านล้านบาท ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เผยอาจผูกบัตรเครดิตใช้ G-Token
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ เสน่ห์หุ้นไทย : พลังผลักดันเศรษฐกิจ ในงานเสวนา Dailynews Talk 2025 ปลุกเสน่ห์หุ้น-คริปโทฯ ครึ่งปีหลัง 2025 จัดโดยเดลินิวส์ ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีเสน่ห์ แม้เศรษฐกิจไทยจะเจอความผันผวน ซับซ้อน และความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีนโยบายสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาในไทย สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในระยะสั้นจะต้องเตรียมรับมือกับการเจรจาสหรัฐฯที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด โดยโยกงบกลาง 1.57 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ตามความเร่งด่วนและความจำเป็น เช่นการนำแผนของ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่เสนอใช้งบประมาณรวม 4 ล้านล้านบาท โดยคลังได้สั่งการให้ไปบริหารจัดการแต่ละโครงการว่าโครงการใดสามารถทำได้บ้างในแต่ละปี ตั้งแต่ปี 2568-2571 โดยเฉพาะการการแก้ปัญหาด้านน้ำเพื่อการ อุปโภคบริโภค การเกษตร และอุตสาหกรรม
นอกจากการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างยังต้องมีการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดทุน โดยจะเห็นได้ว่าแม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่หุ้นหลายกลุ่มยังมีปัจจัยพื้นฐานดี ยังสามารถลงทุนเป็นรายตัวได้


นอกจากนี้ ยังมีการแก้เกณฑ์การซื้อหุ้น หรือ Treasury Stock ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จเร็วๆนี้ ซึ่งจะช่วยให้หุ้นปรับราคาสูงขึ้น และอีกเรื่องที่สำคัญคือการเอาผิดลงโทษที่พบการกระทำผิดมากขึ้น โดยฝากถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ให้มองการแก้ในระยะยาว และการยกระดับการกำกับดูแล ซึ่งกระทรวงการคลังมีแนวคิดให้ ตลท. มีอำนวจสอบสวนเองหรือสอบสวนร่วมด้วยหรือไม่
นายพิชัย กล่าวว่าอีกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายที่สำคัญ เช่น การแก้เกณฑ์การซื้อหุ้น หรือ Treasury Stock ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จเร็วๆนี้ โครงการJump+ มองว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ รองรับทิศทางโลก เช่น เรื่องกรีน หรือ ESG และปรับปรุงกฎหมายที่สร้างความเชื่อมั่น เช่น การลงโทษเอาผิดกับ Naked short ถ้าตรวจสอบได้ มีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา โดยฝากถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้มองการแก้ในระยะยาว และการยกระดับการกำกับดูแล ซึ่งกระทรวงการคลังมีแนวคิดให้ ตลท. มีอำนวจสอบสวนเองหรือสอบสวนร่วมด้วยหรือไม่ โดยมีแนวคิดทบทวนกฎหมาย พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้นักลงทุนในหุ้นข้ามไปลงทุนในดิจิทัลได้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนเศรษฐดิจิทัล
นายพิชัย ยังกล่าวถึงการหารือกับนักลงทุนสถาบัน ถึงการทบทวนหลักเกณฑ์ต่างๆการลงทุนในกองทุน โดยนักลงทุนยอมรับว่าที่ผ่านมีสัดส่วนการลงทุนในไทยจำนวนมาก แต่ในระยะหลังมีการเพิ่มสัดส่วนไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนได้มากกว่า แต่ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ผลตอบแทนต่างประเทศไม่ได้ดีเช่นก่อน รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ส่งผลให้ปัจจุบันนักลงทุนรอดูการลงทุนว่ะจะมีปรับสัดส่วนกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากเงินจะไหลกับเข้าจะลงมาที่พันธบัตรก่อน และเมื่อนักลงทุนเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น เงินก็จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น
สำหรับกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งความเห็นถึงรัฐบาล กรณีออก G-Token รัฐบาลจะต้องเตรียมเงินเต็มจำนวน (Fully Backed) นั้น นายพิชัย บอกว่าขณะนี้ยังไม่มีการออกดิจิทัลที่มีสินทรัพย์เข้ามารองรับ เนื่องจากการออก G-Token ถือเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะ โดยย้ำว่าจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าและบริการโดยตรง แต่อาจเป็นการผูกแลกเปลี่ยนผ่านระบบ แล้วใช้จ่ายผ่านบัตรเตรดิต ทั้งนี้ ยังต้องมีการหารือกับ ธปท. เพื่อความชัดเจน
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าในรอบ 7 เดือน ส่วนหนึ่งเกิดจากเงินทุนที่ไหลกลับเข้ามา แต่ยังต้องรอดูว่าเป็นระยะสั้นหรือไม่ และยังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อการถือครองเงินดอลลาร์ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางและระยะยาวจะต้องกลับมาพิจารณาอีกครั้ง. -516-สำนักข่าวไทย