กรุงเทพฯ 14 พ.ค. – IRPC ตั้ง“Crisis War Room” ติดตามสถานการณ์ เศรษฐกิจรับมือสงครามการค้า พร้อมปรับตัวเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ขยายตลาดผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เร่งบุกตลาดอาเซียน
นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน บริษัทฯ ได้จัดตั้ง “Crisis War Room” เพื่อติดตามสถานการณ์ เศรษฐกิจและตลาดอย่างใกล้ชิด ช่วงเศรษฐกิจมีความผันผวนสูง สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว IRPC ได้วางแนวทางเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีระบบ พร้อมบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรอบด้าน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต ผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ กลยุทธ์ที่ Core Up Lift การยกระดับประสิทธิภาพการผลิต เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจหลักด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในประเทศ รวมถึงขยายตลาดผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เช่น น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ (Low Sulfur Diesel) และ Jet A-1 เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น และ มุ่งขยายการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Portfolio) ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น PP Phthalate free สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และบรรจุภัณฑ์อาหาร เพื่อตอบโจทย์ของผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ต้องการความปลอดภัย รวมทั้ง UHMWPE พลาสติกวิศวกรรม ที่มีความทนทานต่อการสึกหรอ ทนแรงกระแทกและเสียดสีสูง นำไปผลิตเป็น Battery Separator สายพานลำเลียง เฟือง อะไหล่และชิ้นส่วนของลิฟท์ เป็นต้น พร้อมเดินหน้าขยายตลาดสู่ประเทศที่มีศักยภาพในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
กลยุทธ์ Step Up & Beyond การขยายธุรกิจใหม่ ด้วยการต่อยอดความเชี่ยวชาญจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมเดิม ร่วมลงทุนกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นใน 5 กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระดับโลก อาทิ ธุรกิจสีและสารเคลือบ ธุรกิจโรงพยาบาล และธุรกิจรีไซเคิล เป็นต้น
นายเทอดเกียรติ กล่าวว่า จากสถานการณ์ความผันผวนของราคาพลังงาน มาตรการทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงอุปทานที่ลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน ในไตรมาส 1/2568 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 62,224 ล้านบาท ลดลง 813 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่ลดลง
นอกจากนี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ที่ลดลง โดยหลักจากปริมาณการขายในกลุ่มโอเลฟินส์ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวในขณะที่ กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค มีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลบริษัทฯ มี Net Inventory Gain รวม 632 ล้านบาท หรือ 1.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 4,518 ล้านบาท หรือ 7.37 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 1,596 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567
นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 2,328 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 591 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น และเงินกู้ยืมระยะยาวในช่วงไตรมาส 1/2568 ขณะที่ บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการลงทุน 657 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่มีผลกำไรจาก การลงทุน 223 ล้านบาท จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 1,206 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 4/2567 ที่ร้อยละ 7. -511-สำนักข่าวไทย