กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – IRPC มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ พร้อมบริหารต้นทุนและสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยไตรมาส 2/2568 ขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท
นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ IRPC เดินหน้าบริหารความเสี่ยงรอบด้าน โดยขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง และปรับพอร์ตการส่งออกให้มีความยืดหยุ่น รองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า เน้นการเพิ่มสัดส่วนการขายในประเทศ “Domestic First” พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความร่วมมือกับลูกค้าและคู่ค้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ
บริษัทฯ มุ่งยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานน้นการเพิ่มมูลค่าในกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของบริษัทฯ อาทิ ท่าเรือและที่ดิน เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง และเสริมความแข็งแกร่งทางการแข่งขันในระยะยาว นอกจากนี้ IRPC ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ UHMWPE (Ultra-High Molecular Weight Polyethylene) ที่มีความแข็งแรง ทนทานสูง พร้อมตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ และด้านการบริหารทรัพย์สิน IRPC ได้วางกลยุทธ์ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเฉพาะที่ดินและท่าเรือน้ำลึกให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ควบคู่กับการบริหารกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ และพัฒนาองค์กรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศ สงครามการค้าโลก ราคาพลังงานที่ผันผวน
สำหรับผลประกาอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 56,802 ล้านบาท ลดลง 5,422 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 5,219 ล้านบาท หรือ 8.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากไตรมาส 1/2568 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำมันดิบในไตรมาส 2/2568 มีความผันผวน ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน ทำให้เกิดขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2,503 ล้านบาท หรือ 4.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ บริษัทฯ บันทึกการกลับรายการ ปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (กลับรายการ NRV) 343 ล้านบาท หรือ 0.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 141 ล้านบาท หรือ 0.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Loss รวม 2,019 ล้านบาท หรือ 3.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 3,200 ล้านบาท หรือ 5.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 จึงทำให้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 223 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 86 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ บันทึกต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน อีกทั้ง มีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน 250 ล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 ที่มี ผลกำไร 170 ล้านบาท จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 1/2568 ที่ร้อยละ 77
ส่วนไตรมาส 3/68 คาด ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะมีปัจจัยสนับสนุนตามฤดูกาลจากการเดินทางในช่วงฤดูร้อนของประเทศแถบทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป รวมถึงการผลิตไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดน้ำมันดิบ และปิโตรเคมีจะมีปัจจัยกดดันหลักจากมาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐ ,แรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากจีน อาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยรวมมีแนวโน้มอ่อนตัวลง. -511- สำนักข่าวไทย