กรุงเทพฯ 28 ก.ย.-กรมศุลกากรร่วมกับ 7 สมาคมเหล็กชี้แจงกฎหมายฉบับใหม่
ร่วมป้องกันนำเข้าเหล็ก โครงสร้างเหล็กขาดคุณภาพ
หวั่นกระทบการสร้างโครงการขนาดใหญ่รถไฟฟ้า
ตึก อาคาร บ้านเรือน
นายกุลิศ
สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในการเปิดงานสัมมนา หัวข้อ “อุตสาหกรรมเหล็กไทย
ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” จัดโดยกลุ่ม 7
สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยร่วมกับกรมศุลกากร
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเหล็กที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกในอุตสาหกรรมเหล็ก รับทราบ พ.ร.บ.กรมศุลกากรฉบับใหม่
เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ ว่า จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0
กรมศุลกากรต้องประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน
จึงเตรียมเชิญภาคเอกชนทั้งสภาหอการค้าไทย สภาอุตหสกรรมฯ ในสัปดาห์ที่ 2 เดือนตุลาคม
เพื่อรับฟังความเห็นการออกอนุบัญญัติเพิ่มเติม หวังป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี
การแจ้งแหล่งกำเนินสินค้านำเข้าเหล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า
ป้องกันการทุ่มตลาด
การนำเข้าเหล็กไม่ได้มาตรฐานขาดคุณภาพ อาจกระทบต่อโครงสร้างเหล็กสำหรับสร้างรถไฟฟ้า
ตึก อาคารขนาดใหญ่ เมื่อต้องนำเข้าเหล็กโครงสร้างนำเข้าจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ตั้งทีมเจ้าหน้าที่ชำนาญการ
เพื่อกำหนดแผนปฏิบัติร่วมกัน
สำหรับการประเมินตรวจสินค้าเพื่อเสียภาษีจากเดิมใช้เพียงรายบุคคล
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสินค้าเหล็กนำเข้า นอกจากนี้กรมศุลกากรยังได้เร่งรัดเคลียร์คดีนำเข้าเหล็ก
ซึ่งได้มีเอกชนยื่นอุทธรณ์กว่า 2,000 คดี ยื่นเสียภาษีร้อยละ 5
แต่กรมศุลกากรมองว่าควรเสียพิกัดร้อยละ 15-30 ยอมรับว่าหลายคดีเก็บภาษีตามเอกชนแจ้ง
เมื่อคดีใดตัดสินแล้วจะนำขึ้นเว็บไซต์ เพื่อรับทราบจะได้ไม่น้องยื่นอุธรณ์ซ้ำซ้อนและได้เปิดให้ยื่นประเมินภาษีออนไลน์ล่วงหน้า
24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังอุดช่องโหว่การเลี้ยงคดีให้อ้วน
เพื่อรับเงินรางวัลนำจับสัดส่วนจากมูลค่านำเข้าราคาสูงโดยปล่อยให้เวลาผ่านไปนานแล้วติดตามเช็คบิลประเมินภาษี
เปลี่ยนมาเป็นการประเมินคดีให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี
กำหนดจ่ายเงินรางวัลแต่ละคดีไม่เกิน 5 ล้านบาท
โดยรวมทั้งรางวัลนำจับร้อยละ 30 และเงินสินบนร้อยละ 20
ของมูลค่าสินค้า โดยนำทั้ง 2 ส่วนนำมารวมกันเป็นร้อยละ 20
ของมูลค่าสินค้า ทั้งนี้เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย
นายนาวา
จันทนสุรคน ในนามตัวแทนกลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการเหล็กได้รับผลกระทบอย่างมาก
จากความต้องการใช้เหล็กในประเทศประมาณ 19 ล้านตันต่อปี
แต่ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเพียง 10 ล้านตัน ที่เหลือมาจากการนำเข้า
โดยในปีที่ผ่านมาได้นำเข้าเหล็กโครงสร้างจากจีน เวียดนาม เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว และเริ่มมีปัญหาการทุ่มตลาดจากการนำเข้าเหล็กคุณภาพต่ำ
เหล็กผสม การสำแดงเท็จ อาจกระทบต่อการก่อสร้างอาคาร ภาคเอกชนจึงร่วมกับ
สมอ.ในการกำหนดมาตรฐานการนำเข้าเหล็ก และหารือกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาเหล็กนำเข้า
โดยการหลบเลี่ยงอากรนำเข้า ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
การเคลือบสีผลิตภัณฑ์อย่างหยาบเพื่อเปลี่ยนพิกัดศุลกากร การสำแดงสูตรการผลิตที่ไม่เหมาะสม
ปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการเหล็กยังคงเผชิญมาโดยตลอด
คือการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่เกิดจากการทุ่มตลาดของสินค้าเหล็กนำเข้า จึงได้นำเรื่องเสนอปัญหาต่อนายกรัฐมนตรี
และนายสมคิด รองนายกรัฐมนตรี
นายทนงศักดิ์
ภูมินา อุปนายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย
กล่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่กำลังไล่ปิดโรงงานเหล็กขนาดเล็กทั่วประเทศ
โดยใช้เทคโนโลยีล้าสมัยและก่อมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม
จึงทำให้ผู้ประกอบการจีนรายย่อยได้หนีมาตั้งโรงงานในประเทศไทยซึ่งใช้เครื่องมือเครื่องจักรเพียง
1-2
ล้านบาทใช้หลอมเหล็ก ผู้ผลิตบางรายเริ่มนำเข้าเครื่องจักรเก่าจากจีน
เพราะราคาถูกกว่าเครื่องจักรนำเข้าจากยุโรปมาก
จึงต้องฝากให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งพิจารณาออกมาตรการป้องกันการนำเข้าเครื่องจักรเก่าที่ใช้เทคโนโลยีล้าสมัยจากจีนโดยด่วน
โดยเฉพาะเตาหลอมแบบ Induction Furnace ซึ่งด้อยประสิทธิภาพในด้านการประหยัดพลังงานและยังก่อมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
การให้อนุญาตจัดตั้งโรงงานเหล็กใหม่ในอนาคต
ควรมีการกำหนดในเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ขณะที่โรงงานของไทยต้องลงทุนหลักพันล้านบาท
นายเภา
บุญเยี่ยม เลขาธิการสมาคมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนเหล็ก กล่าวว่า
ต้องการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กภายในประเทศมากขึ้น
เพราะการพัฒนาโครงการก่อสร้างพื้นฐานภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน
(179,000 ล้านบาท)
และโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 (44,000 ล้านบาท)
และอีกหลายโครงการลงทุนขนาดใหญ่
เพื่อรักษาผู้ผลิตที่มีอยู่ภายในประเทศ และการสร้างแรงงาน
ในการกำหนดสัดส่วนใช้วัสดุในประเทศเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการลงทุน โดยเตรียมเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในต้นเดือนตุลาคมนี้
สำหรับการนำเข้าโครงสร้างกึ่งสำเร็จรูป
(Prefabrication) จากประเทศจีน
โดยในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2560 มีปริมาณนำเข้าจากประเทศจีนกว่า 64,000 ตัน
ซึ่งผู้ส่งออกจีนอาศัยช่องโหว่ของพิกัดศุลกากร นำเข้ามาภายใต้พิกัด 7308 ปัจจุบันไม่มีการกำหนดมาตรฐาน
มอก. บังคับ นอกจากนี้ยังได้รับการอุดหนุนการคืนอากรส่งออก (Export Tax Rebate) ในอัตราร้อยละ 9 จากรัฐบาลจีนอีกด้วย
ทำให้มีราคาที่ถูกมากส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนภายในประเทศในฐานะผู้ผลิตวัตถุดิบ
ดังนั้นจึงอยากเสนอให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
พิจารณากำหนดมาตรฐานเหล็ก Prefabrication โดยเร็ว .-สำนักข่าวไทย
