กรุงเทพฯ 20 ม.ค. – หุ้นเอเชียกระเตื้อง คาด “ทรัมป์” ผ่อนปรนมาตรการขึ้นภาษี แต่ก็สร้างความปั่นป่วน เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมในเจรจารับมือ
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ กรรมการ ผจก.สายธุรกิจหลักทรัพย์ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกจับตานโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันนี้ (20 ม.ค.) โดยหากทรัมป์ มีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าหลายประเทศตามที่หาเสียงไว้ ก็จะ กระทบเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 3% ในไตรมาส 3 ปีนี้ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจชะลอการลดดอกเบี้ย บอนด์ยีลด์ สหรัฐพุ่งขึ้น ก็จะมีผลต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งหากมีการประกาศขึ้นภาษีศุลกากร 10% ในทุกสินค้า จะฉุดจีดีพีสหรัฐลดลง 1% หากแต่มีการลดภาษีนิติบุคคล ควบคู่ไปด้วย แรงฉุดต่อจีดีพีจะลดลง 0.5 % แต่หากขึ้นภาษีเป็นรายประเทศ เช่น จากจีน จากกลุ่มยุโรป ผลกระทบจะน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมาที่ปรึกษาของทรัมป์ ออกมาระบุว่าแผนการขึ้นภาษีจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตลาดก็คลายความกังวลในเรื่องเหล่านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทยปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้นในวันนี้ (20 ม.ค.) ก่อนที่ ทรัมป์ จะเข้าพิธีสาบานตน โดย SET ปิดเช้าวันนี้ที่ 1,344.83 จุด เพิ่มขึ้น 4.20 จุด (+0.31%) มูลค่าซื้อขาย 13,696.43 ล้านบาท นักลงทุนคลายกังวลชั่วคราว หลังทรัมป์ มีท่าทีผ่อนปรนมาตรการการขึ้นกำแพงภาษี จากรายงานข่าวว่าการเจรจาพูดคุยกับประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิง เป็นไปด้วยดี
ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.80 บาท/ดอลลาร์ ภาพรวมในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามความชัดเจนด้านนโยบายการค้าของ “ทรัมป์” โดยตลาดกำลังรอการยืนยันว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเชิงรุกในช่วงเริ่มต้นวาระที่สองหรือไม่อย่างไร โดยมีรายงานว่าทรัมป์อาจออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) กว่า 1 ร้อยฉบับในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งมองว่าระดับการคาดการณ์ของผู้ร่วมตลาดดังกล่าวเปิดความเสี่ยงด้านขาลงของค่าเงินดอลลาร์ในระยะสั้น หากมีแนวโน้มว่าการบังคับใช้มาตรการทางการค้าในเบื้องต้นรุนแรงน้อยกว่าหรือล่าช้ากว่าที่นักลงทุนวิตกมาตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/2567
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าวันรับตำแหน่งของ ทรัมป์วันนี้ น่าจะเน้นไปที่การกีดกันผู้อพยพ และการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจะทยอยทำเพื่อเจรจา ไม่น่าจะขึ้นภาษีทุกประเทศ 10-20% และจีน 50-60% ทันที จะช่วยลดแรงกดดันของ Dollar Index และ US Bond Yield 10ปี พ้นพีคระยะสั้น หนุนรอบของตลาดฟื้นตัว และส่งผลSET ระยะสั้น คาดตลาดสร้างฐานก่อนฟื้นตัว โดยมีแนวต้าน 1350/1356 จุด แนวรับ 1335/1330 จุด นอกจาหนี้ต้องติดตามโมเมนตัมนักท่องเที่ยวจีนก่อนตรุษจีนยังเด่น แต่จับตาช่วงตรุษจีน จะแผ่วยอย่างที่ตลาดกังวลความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่ง SET น่าจะใกล้ผ่านจุดต่ำสุด เริ่มสร้างฐาน ก่อนฟื้นตัว โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ Valuation ตลาดที่น่าสนใจ แนะนำทยอยสะสมหุ้นธีม ดังนี้ Dividend Plays โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารและสื่อสาร (INTUCH, ADVANC, SCB) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (AOT, CPALL, HMPRO) หุ้นในธีม Infrastructure Technology (GULF, ADVANC)
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นแม้มีแนวโน้มชะลอตัว แต่ยังคงเติบโตได้ดีกว่าระดับศักยภาพ และมีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลงได้ แต่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้า เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคือนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ที่น่าจะมีผลกระทบต่อสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ค่อนข้างมาก
“โดนัลด์ ทรัมป์ จะใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองกับประเทศอื่นในด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องความมั่นคง การค้าที่ไม่เป็นธรรม การเปิดตลาดต่างประเทศให้สินค้าสหรัฐฯ หรือความร่วมมือเรื่องผู้อพยพ นโยบายเหล่านี้อาจดีต่อสหรัฐฯ แต่สร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะครึ่งปีแรก เนื่องจากลำดับของนโยบายที่ทรัมป์จะเริ่มนำมาใช้ก่อน และระดับมูลค่าของสินทรัพย์ซึ่งตั้งต้นอยู่ในระดับที่สูงในปัจจุบัน” ดร.พิพัฒน์ กล่าว
สำหรับประเทศไทยปีนี้ การท่องเที่ยว ภาคบริการ และนโยบายการคลังยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญ แต่เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากปีก่อน จากปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขัน และแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อภาคธนาคาร นอกจากนี้ นโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมในเจรจารับมือ ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ เนื่องระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่สูงกว่าระดับเงินเฟ้อค่อนข้างมาก และภาวะทางการเงินที่อยู่ในภาวะตึงตัว. -511-สำนักข่าวไทย