“ลวรณ” คาดปี 67 เก็บภาษีที่ดินแตะ 4.3 หมื่นล้านบาท

กรุงเทพฯ 28 พ.ค.- “ลวรณ” มั่นใจปี 67 เก็บภาษีที่ดินแตะ 4.3 หมื่นล้านบาท เดินหน้าทบทวนกฎหมายหลังใช้มา 5 ปี  คาดแล้วเสร็จปลายปีนี้  ด้านเอกชนเสนอเก็บภาษีอัตราเดียวทุกประเภท ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV 


นายลวรณ แสงสนิท  ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผย ถึงความคืบหน้าในการทบทวนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีผลบังคับใช้มา 5 ปี จะต้องมีการทบทวนตามกฎหมาย ขณะนี้มีกระบวนการในการเปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 15 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีผู้ร่วมให้ความเห็น 500 คน และคาดว่าการทบทวนกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ 

ขณะที่การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่า เจอปัญหาตั้งแต่บังคับใช้เมื่อปี 2563 เป็นช่วงโควิด 19 ระบาดมีการลดการจัดเก็บภาษี90% ให้ชำระเพียงแค่ 10% และเริ่มกลับมา จัดเก็บ 100% ในปี2565 จนทำให้ประชาชนเกิดภาวะช็อค  และ ล่าสุด ในปี 2566 มีการลดให้อีก 15%  แต่ก็สามารถจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้กว่า 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่า จัดเก็บภาษีได้ใกล้เคียงกับการจัดภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ ในปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ประมาณที่ 36,000 ล้านบาท  ส่วนในปี 2567 คาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้กว่า 43,000 ล้านบาท


นายลวรณ  ระบุด้วยว่าต้องการให้การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีความถูกต้อง จัดเก็บโฉนดที่ดินในรูปแบบดิจิทัล ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเข้ามาจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้เกิดความแม่นยำ  และเก็บภาษีอัตราเดียวในแต่ละประเภทของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะมีการกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำไว้  แต่หากท้องถิ่นไหนที่มีศักยภาพสามารถที่จะจัดเก็บในอัตราที่สูงกว่าก็สามารถทำได้ 

ปลัดกระทรวงการคลัง ย้ำว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยังเป็นภาษีที่มีศักยภาพ สามารถจัดเก็บเพิ่มได้อีก เนื่องจากราคาประเมินที่ดินที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งหากมีการทบทวน ปรับปรุงให้กระบวนการและขั้นตอนในการจัดเก็บภาษี  จะทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มจากการจัดเก็บภาษี และบริหารจัดการภาษีได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับมาตรการ LTV หรือ มาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นั้น ในที่ประชุม คณะรัฐมนตรี ได้มีการหารือว่าหากมีการปรับลดเกณฑ์ จะเป็นประโยชน์กับภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง มอบให้ ธปท.ไปพิจารณา การปรับเกณฑ์ขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯแบงก์ชาติ


ส่วนความคืบหน้าการฟื้นกองทุน LTF ตามแนวคิดนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) หรือ สมาคม บลจ. หารือเตรียมความพร้อมกัน เพื่อนำเสนอข้อมูล ไปเมื่อ21 พ.ค.ที่ผ่านมา  จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประสานจะเข้าหารือกับทาง รมว.คลัง

นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แบงก์ชาติกลัวเรื่องการเก็งกำไร ทำให้ไม่ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ซึ่งมองว่าขณะนี้ถึงเวลาต้องผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ได้แล้ว อัตราดอกเบี้ยตามธรรมชาติ ควรลดอัตราดอกเบี้ยได้แล้ว ซึ่งหากลดดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน ประมาณ 0.25-0.5% จะส่งผลดี เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกำลังซื้อ

ปัจจัยลบในตลาดอสังหาฯ ขณะนี้คือการเข้มงวดของธนาคารในการพิจารณาสินเชื่อผู้ซื้อบ้าน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลบังคับตั้งแต่ปี 2563 และในปี 2567 ไม่มีส่วนลด จะมีผลทางจิตวิทยาต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์บางประเภท เช่น บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียมที่ซื้อเพื่อการลงทุน เป็นต้น โดยมีข้อเสนอการจัดเก็บภาษีว่าควรเก็บอัตราเดียวในทุกประเภท เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการจัดเก็บภาษี และปิดช่องโหว่จนทำให้รัฐสูญเสียรายได้ นอกจากนี้ ตลาดยังขาดแคลนแรงงานประเภทสาขาวิชาชีพและช่างฝีมือซึ่งเป็นปัญหาต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์  

ทั้งนี้มองว่า ตลาดอสังหาฯ ไทย ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตแบบเปราะบางจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการของสภาพเศรษฐกิจและการเมือง  ราคาจะสูงขึ้นตามต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกำลังซื้อ ซึ่งกำลังซื้อภายในประเทศยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักอยู่ การขยายตัวจะเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนภูมิภาคจะมีเฉพาะจังหวัดเศรษฐกิจในแต่ละภาค ที่เป็นการเติบโตเฉพาะบ้านจัดสรร เช่น สงขลา เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี แต่การเติบโตโดยรวมจะชะลอตัว เนื่องจากปริมาณและราคาสินค้าเกษตรที่น่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและการส่งออกมีการแข่งขันกันมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ มองว่าอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปี 2567 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะกลับมาเติบโตได้ถึง 5% แต่หากไม่มีการดำเนินการใดๆ อาจติดลบถึง 10% .-516-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เสียงสะท้อนจากวีรบุรุษแนวหน้าถึงแนวหลัง

11 ส.ค. – แม้สถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชาเหมือนจะดีขึ้น แต่ยังวางใจไม่ได้ เช่นข่าวทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บอีก 3 นาย วันนี้จะพาไปดูความพร้อมของหน่วยแพทย์ในการดูแลทหารของชาติในฐานะวีรบุรุษ พร้อมข้อคิดจากจ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญชูกล้า หรือจ่าเต้ 1 ในวีรบุรุษ ฝากถึงแนวหลัง.-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังถก​ สมช.​ เคาะสถานการณ์สงบจริง

เมืองทองธานี 11 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ลั่น​ ก็จบ!! ​ หลัง “กองทัพ” ยืนยันแล้ว “แม่ทัพภาค 2” ไม่ได้พูดยึดปราสาทตาควาย ย้ำยังไม่มีอะไรผิดสัญญา เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังประชุม​ สมช.​ 13-14 ส.ค.นี้​ เคาะสถานการณ์สงบจริง​ นายภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​ กล่าวถึงกรณีพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2​ ออกมา ประกาศยึดคืนปราสาทตาควาย จะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงไทย-กัมพูชาหรือไม่ ว่า​ ยังไม่ได้ยินแม่ทัพภาคที่ 2 พูด​ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลง​ เมื่อถามว่าแม้กองทัพ จะออกมาปฏิเสธแล้ว​ แต่ทางกัมพูชา​อาจมองเป็นการกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง และละเมิดข้อตกลง 13 ข้อ นายภูมิ​ธรรม​ กล่าวว่า​ ยังไม่มีอะไรผิดสัญญา กองทัพซึ่งเป็นตัวหลักได้ยืนยันแล้ว​ ก็จบตามนั้น​ เมื่อถามว่า​ สถานการณ์ชายแดน 2-3 วันที่ผ่านมา​ ถือว่าสงบนิ่งหรือไม่​ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะกลับมา​อีก […]

ทบ.ยัน ‘มทภ.2’ ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย

11 ส.ค.- โฆษกกองทัพบกโต้กัมพูชา ยันแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย ย้ำไทยไม่มีความพยายาม “ยั่วยุ-วางแผน” ใช้กำลังทางทหารตามที่เขมรกล่าวอ้าง พลตรี​ วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องของปราสาทตาควาย ว่า “ยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้ทำการวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่าเตรียมนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงเจรจาในกรอบการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ใช่ความพยายามที่มีการยั่วยุและมีการวางแผนใช้กำลังทางทหารต่อกรณีปราสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด” -สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเล็ก​” ยันรับฟังข้อเรียกร้องต่ออายุราชการ “มทภ.2” ยึดรอบคอบ

11 ส.ค.- “พล.อ.ณัฐพล​” ยันรับฟังข้อเรียกร้องต่ออายุราชการ “แม่ทัพภาค 2” แต่ต้องพิจารณารอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงานระดับรอง ที่จะมีโอกาสเติบโตก้าวหน้า พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวเรียกร้องให้มีการต่ออายุราชการทหาร ของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2  โดยยืนยันว่า รับฟังกระแสเรียกร้องดังกล่าว ที่มีมาจากคนไทยที่รักประเทศ และห่วงใยในสถานการณ์ หลังการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาเพิ่งผ่านไป ซึ่งในฐานะผู้บังคับบัญชา ยืนยันว่ารับฟังข้อเรียกร้องดังกล่าว อย่างไรก็ตามเรี่องนี้ ยืนยันว่าจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญ ต้องพิจารณาภาพรวมขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานระดับรอง ที่จะมีโอกาสก้าวหน้าเติบโตต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาสถานการร์การสู้รบ ทั้งแม่ทัพภาค 2 เอง และผู้บังคับบัญชาระดับรอง ต่างก็ทำภารกิจอย่างเต็มกำลัง และมีความสามารถทั้งหมด นักวิชาการไม่เห็นด้วยปมต่ออายุราชการ “แม่ทัพภาค 2” ผศ. ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต  ได้โพสท์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่า เรื่องการขอเสนอการต่ออายุราชการ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ออกไปนั้น ตนไม่เห็นด้วย ขอให้วางใจวางสติให้ดี ว่าเราต้องไม่ตกหลุมกับดักของคนภายในและภายนอก […]