กรุงเทพฯ 5 ต.ค. – SET Index เดือน ก.ย.2566 ปิดที่ 1,471.43 จุด ปรับลดลง 6.0% เงินทุนไหลออก-เงินบาทอ่อนค่า เหตุเศรษฐกิจจีนปราะบาง แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ-เงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะผลตอบแทนดีกว่า
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย เดือน ก.ย.2566 โดย SET Index ปิดที่ 1,471.43 จุด ปรับลดลง 6.0% จากเดือนก่อนหน้า เป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 49,462 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 34.1% ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนที่ 8 อยู่ที่ 22,436 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 9 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 56,218 ล้านบาท
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ อยู่ที่ระดับ 16.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 22.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน อยู่ที่ระดับ 3.15% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.39%
ด้านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 583,283 สัญญา เพิ่มขึ้น 10.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 548,766 สัญญา ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures
อย่างไรก็ตาม ด้วยอานิสงส์ของเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกของประเทศไทยกลับมาเป็นบวกครั้งแรก นอกจากนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกกับเศรษฐกิจไทยในปี 66 และ 67 นำโดยการบริโภคภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการฟื้นตัวของการส่งออก แต่แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ทั้งนี้ ความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน ทำให้เห็นสัญญาณเงินทุนไหลออกจากหลายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียใน เดือนก.ย.66 ทำให้เงินสกุลต่างๆ ปรับตัวอ่อนค่า โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ปรับลดลงมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต่างชาติยังรอจังหวะการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางค่าเงินบาท รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตามแนวโน้มในไตรมาส 4/66 ต้องติดตามข้อมูล ความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายหรือข่าวที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระกับโลกอย่างใกล้ชิด หลังจากตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในมาตลอด ทั้งนี้ ปัจจัยภายในประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งด้านนโยบายของรัฐบาลต่าง ๆ แต่ต้องติดตามต่อว่านโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาจะมีทิศทางอย่างไร และตอบสนองต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างครบถ้วนหรือไม่
“ในเดือน ก.ย.66 ผู้ลงทุนมีความสนใจในหุ้นลดลงหลังจากมีการปรับฐานครั้งใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี สาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ เนื่องจากผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ถือเป็นการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวนานกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ขณะที่ราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงจำกัดปริมาณการผลิต” นายศรพล กล่าว.-สำนักข่าวไทย