กรุงเทพฯ 26 พ.ค.-บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR เตรียมพร้อมบริหารต้นทุนหากรัฐบาลใหม่ปรับขึ้นค่าแรง มั่นใจ ผลประกอบการปี 2566 เติบโตกว่าปี 2565 รับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ฟื้น คาดราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยปีนี้ 80-86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในงาน Oppday Q1/2023 โดยระบุ กรณีที่หากรัฐบาลใหม่มีการปรับขึ้นค่าแรงงาน ว่า การขึ้นค่าแรงก็คงมีผลกระทบบ้าง แต่เชื่อว่ายังสามารถบริหารจัดการได้ ให้มีผลดำเนินการที่ดี โดยOR ยภาพรวมการจ้างานไม่ได้อยู่บนฐานของค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน โดยธุรกิจปัจจุบันในส่วนของปั๊มน้ำมันและ NON –oil สัดส่วนของ OR ลงทุนและเป็นเจ้าของเอง(COCO) ประมาณ 20% ส่วนที่เหลือเป็นของคู่ค้า
สำหรับ แนวโน้มผลการดำเนินงานของ OR ทั้งปี 2566 เทียบกับปีที่ผ่านมา คาดผลประกอบการจะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน โดยช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังเฝ้าติดตามความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก เพราะจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของOR รวมถึงปัญหาสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ยืดเยื้อ แต่ปัจจัยบวก คือการเปิดประเทศจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว เช่น จีน เข้ามาเป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้สายการบินต่างๆเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้นก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มOR
นางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ OR กล่าวว่า แนวโน้มค่าการตลาดในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้ 0.70 – 1.30 บาทต่อลิตร แต่หากเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าจากทิศทางราคาน้ำมันดิบที่เป็นขาลง ก็คาดว่าจะสามารถรักษาค่าการตลาดไว้ที่ระดับ 1 บาทต่อลิตร หรือสูงกว่าไตรมาส1 ได้ รวมถึงในเรื่องของสตอกน้ำมัน Gain/Loss คาดในไตรมาส 2 ปีนี้ จะมีผลกระทบไม่มาก เนื่องจากราคาน้ำมันปรับขึ้น-ลงไม่รุนแรง และ กลุ่ม ปตท.คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 80-86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่อัตราเงินบาท คาดว่า จะอยู่ในกรอบ 32-34 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ส่วนแผนขยายสถานบริการน้ำมัน “พีทีที สเตชั่น” ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะยังเป็นไปตามเป้าหมายคือเปิดปั๊มใหม่ให้ได้ 100 แห่งต่อปี จากที่ซึ่งไตรมาส 1/66 เปิดไปแล้ว 5 แห่ง โดยบริษัท ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการเปิดปั๊มใหม่ แต่จะเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการหรือเพิ่มมาร์จิ้นที่ดีมากขึ้น
สำหรับภาพรวมทิศทางธุรกิจในปี 2566 OR ได้ผลบวก จากทิศทางการฟื้นตัวที่ดี โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดการ GDP ไทยปีนี้ อยู่ในกรอบ 2.7-3.7% มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเข้ามา 28 ล้านคน เป็นปัจจัยสนับสนุนภาคบริโภคของเอกชน เติบโต 3-4% ขณะที่การส่งออกเริ่มฟื้นตัว หลังหดตัวลงก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของไทย กลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมายหลังผ่านจุดสูงสุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ ปีนี้ อยู่ที่ระดับ 2.9% ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงและมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศที่มีต่อเนื่อง.–สำนักข่าวไทย