กรุงเทพฯ 23 พ.ค.-ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยระบุมอง ข้อและปฏิบัติ 5 ข้อรัฐบาลใหม่ถือเป็นสัญญานที่ดี และขอให้รัฐบาลใหม่สามารถจัดตั้งเดินหน้าเร่งแก้ไขทุกอย่างให้กลับมาดีขึ้น
นายสนั่นอังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาพการเมื่อลงนามMOU ของทั้ง 8 พรรค ที่ออกมานั้น ที่มี 23 เรื่อง และ แนวปฏิบัติ 5 ข้อนั้น ถือว่าเป็นสัญญานที่ดี และ ประเด็นที่ได้ยกมานั้นเรื่องเศรษฐกิจ ก็มีความชัดเจนที่มีทั้งประเด็นเร่งด่วน ทั้งลดภาระรายจ่าย เพิ่มรายได้ และการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบต่าง เพื่อเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันของประเทศ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และเท่าเทียมภาพรวมถือว่า สามารถสร้างนโยบายร่วมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ออกมาได้ดี
ทั้งนี้ การตั้งรัฐบาลคงต้องตั้งให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเดินหน้านโยบายบริหารประเทศต่อ เพราะอย่างที่หอการค้าฯเคยให้ความเห็นไปว่า เรื่องตั้งรัฐบาล เร็วและมีเสถียรภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจาก timeline หากสามารถตั้งรัฐบาลได้เดือนสิงหาคมการประชุม ครม ครั้งแรก ก็คงเป็น เดือนกันยายน
” สิ่งที่กังวลคือ หลังตั้งรัฐบาล การพิจารณาผ่านงบประมาณประจำปีช้า และนโยบายต่างก็คงตามออกมาช้า ซึ่งในเมื่อวานนี้ เป็นการลงนาม MOU ในภาพกว้างขอนโยบาย แต่การลงมือทำจริง อาจจะต้องมีรายละเอียดเพิ่มเติมของการปฏิบัติซึ่งต้องมาลงในแนวทางปฏิบัติร่วมกัน และยังมีอีกหลายนโยบายที่แต่ละพรรคต้องการผลักดันเอง ซึ่งเชื่อว่าต้องใช้เวลาส่วนนึง ทำให้การตั้งงบประมาณและผ่านคงใช้เวลา ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติ หายคน คงจะ wait & see รอความชัดเจนหลายอย่าง ซึ่งอาจจะ delay การค้าการลงทุน ออกไป”นายสนั่นกล่าว
สำหรับเนื้อหาของ MOU หอการค้าฯ มองเป็น 3 มิติสำคัญในการวางนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ คือ
1) มิติด้านเศรษฐกิจ เห็นได้ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ผ่านประเด็นการร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม การจัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ การกำหนดค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเซียนและเวทีระหว่างประเทศ ตามกรอบความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือพหุภาคี ซึ่งส่วนนี้จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกได้มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เพิ่มการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และแหล่งน้ำในภาคการเกษตร การตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งการอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME การยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า ลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หรือแม้แต่การแก้ไขกฎหมายประมง เหล่านี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกิดการลงทุนและการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยทะยานส่วนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้
2) มิติด้านสังคม เราเห็นการวางแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมโดยรวม ทั้ง การเตรียมผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ การระบบสวัสดิการดูแลประชาชน การแก้ไขปัญหายาเสพติด การยกระดับระบบสาธารณสุขเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การปฏิรูประบบการศึกษา และการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)
3) มิติด้านการเมือง ส่วนนี้จะเป็นการปฏิรูปการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของภาครัฐ ซึ่งท้ายที่สุดจะช่วยลดความขัดแย้งของสังคมได้มากขึ้น ทั้งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐ การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม
สำหรับ 5 แนวทางบริหารประเทศ เชื่อว่าส่วนนี้จะเป็นการวางกรอบการทำงานของแต่ละพรรคการเมืองผ่านฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างชัดเจน ภายใต้ข้อตกลงของร่วม เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับและสิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนจับตามองจากนี้คือกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อยไม่ยืดเยื้อ เพื่อให้ประเด็นต่างๆ ที่ทุกพรรคได้ตกลงกันไว้ผ่าน MOU สามารถนำไปขับเคลื่อนในเชิงนโยบายและการปฏิบัติได้จริงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการเข้ามาเร่งจัดทำงบประมาณประจำปีเพื่อให้แผนงานและโครงการต่างๆ ของประเทศมีความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
ทั้งนี้ หอการค้าฯ มองว่า 313 เสียง จาก 8 พรรค ตอนนี้ จุดแข็งคือมีเสียงข้างมากในสภาฯ ขณะเดียวกันจุดอ่อนก็คงยังเป็นความไม่แน่นอนว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ไหม ซึ่งก็ยังคงต้องรอเสียงเพิ่มเติมมั้งจาก ส.ส. และ สว. มาทำให้เกิดความแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าวันนี้ ประเด็นจากการ MOU ที่ออกมา น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ทั้ง ส.ส. และ สว. บางส่วนให้การสนับสนุนเพิ่มเติมจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ดังนั้น ความคาดหวัง จากการรวม 8 พรรคนี้ และเห็น MOU ที่ออกมา เชื่อว่า หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ดรีมทีมของว่าที่รัฐบาล มั่นใจว่าจะสามารถนำคนที่มีประสบการณ์ ผสานกับคนที่มีวิสัยทัศน์ สร้างการเปลี่ยนแปลงสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้นได้ต่อไป.-สำนักข่าวไทย