กรุงเทพฯ 19 พ.ค. – บีโอไอรุกจัดงานสัมมนาการลงทุนที่เกาหลีใต้ ตอกย้ำศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจในไทย พร้อมจับมือ กนอ. และเอกชนยักษ์ใหญ่ไทย ร่วมดึงการลงทุนเกาหลี สร้างคลื่นการลงทุนลูกที่สามในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอีวี เซมิคอนดักเตอร์ การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ระหว่าง 15-18 พฤษภาคม 2566
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้เดินทางจัดสัมมนาการลงทุนในหัวข้อ “Thailand Investment Promotion Strategy: NEW Economy, NEW Opportunities” ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 โดยมีพันธมิตรทั้งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และบริษัทชั้นนำของไทย ทั้งกลุ่ม ปตท. และเครือซีพี ร่วมให้ข้อมูลการลงทุนและโอกาสในการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทย-เกาหลี รวมถึงเปิดการเจรจาธุรกิจและให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเป็นรายบริษัท โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมสัมมนามากกว่า 180 คน
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทเกาหลีมากกว่า 400 รายเข้ามาลงทุนในไทยและประสบความสำเร็จอย่างดี โดยบริษัทรายใหญ่ เช่น ซัมซุง แอลจี พอสโก ฮันวา และฮันซอล ถือเป็นคลื่นการลงทุนลูกแรกจากเกาหลีที่เข้ามาไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากกลุ่มนี้เข้ามาตั้งฐานได้มั่นคงแล้ว ก็ได้เริ่มนำกลุ่ม Supplier และพันธมิตรทางธุรกิจ ตามเข้ามาลงทุนเป็นคลื่นลูกที่สอง ทำให้ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนจากเกาหลีเข้ามาอย่างต่อเนื่องปีละเฉลี่ย 30 โครงการ เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาทต่อปี แต่จากนี้ไปจะเป็นช่วงเวลาสำคัญของโลกยุคหลังโควิดที่มีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะสงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศ จะเป็นโอกาสที่ไทยและเกาหลีจะร่วมกันสร้างคลื่นลูกที่สามของการลงทุนเกาหลีในไทย
อีกทั้งในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน และเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาเกมและระบบอัจฉริยะใน Smart City รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น กรณีที่เครือซีพี ได้จับมือกับบริษัทเกาหลีหลายราย ทั้งกลุ่ม SM Entertainment, CJ Entertainment และล่าสุดคือ The Black Label ซึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาต่างๆ นี้ เป็นที่สนใจของนักลงทุนเกาหลีอย่างมาก และยุทธศาสตร์ใหม่ของบีโอไอก็จะช่วยสนับสนุนให้เกิดคลื่นการลงทุนลูกที่สามจากเกาหลีได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการสัมมนา บีโอไอได้ชี้ให้นักลงทุนเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในด้านต่างๆ ทั้งในแง่ที่ตั้งซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค มีระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ มีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งมีบริษัทเกาหลีตั้งอยู่จำนวนมาก อีกทั้งมีซัพพลายเชนที่ครบวงจร มีมาตรการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล มีขีดความสามารถในการจัดหาพลังงานสะอาดให้กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อช่วยให้บริษัทชั้นนำของเกาหลีสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ตั้งไว้ได้ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ที่ประเทศไทยเข้าร่วม ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถเป็นสะพานเชื่อมนักลงทุนเกาหลีกับภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี
นอกจากดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว บีโอไอยังชี้ให้บริษัทเกาหลีโดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้ว มองเห็นโอกาสและข้อได้เปรียบในการเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) และศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยด้วย โดยไทยมีมาตรการเตรียมพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับ ซึ่งจะช่วยทำให้ฐานธุรกิจของเกาหลีในไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความมั่นคงในระยะยาว
นายปาร์ค แจฮอง ประธานสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าของเกาหลี กล่าวว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ ทั้งต่อการตอบโจทย์เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมและการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยแล้วอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่าร้อยละ 30-40 ต่อปี แสดงถึงศักยภาพที่มีสูงมาก ทั้งเกาหลีใต้และไทยต่างได้ตั้งเป้าหมายอีวีที่ชัดเจน โดยเกาหลีใต้ได้ตั้งเป้าให้บริษัทเกาหลีผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 3.3 ล้านคัน ภายในปี 2030 ขณะที่ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030 ดังนั้น เกาหลีใต้และไทยในฐานะผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 5 และ 10 ของโลก ตามลำดับ จึงควรร่วมมือกันในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและระบบนิเวศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของทั้งสองประเทศ.-สำนักข่าวไทย