กรุงเทพฯ 11 พ.ค.- ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เผยเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology) เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ” เกษตร ขนส่ง ก่อสร้าง” แนะภาครัฐสนับสนุนภาคธุรกิจประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น คาดวงเงินลงทุน 2 แสนล้านบาท
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแส Digital Transformation ทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังยุคโควิด-19 และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคธุรกิจประยุกต์ใช้ Space Technology หรือเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ได้แก่ ปัญหา Climate Change หรือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิต ซึ่งประเทศไทยมีการใช้แผนที่ดาวเทียมในการประเมินสถานการณ์น้ำท่วม หรือตรวจจับไฟป่า ขณะที่ในหลายประเทศทั่วโลกมีการพัฒนา Space Technology และนำมาใช้ในภาคธุรกิจอย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่น การใช้ข้อมูลระยะไกลจากดาวเทียมเพื่อวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ระบบนำทางจากดาวเทียมกับเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับสำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์ การนำข้อมูลดาวเทียมมาใช้ในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งทางอวกาศเป็นการท่องเที่ยวในอวกาศได้
นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า Space Technology จะเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจเกษตร ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจก่อสร้าง โดยในภาคเกษตร การใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายทางดาวเทียม จะช่วยลดผลกระทบต่อผลผลิตข้าวจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ราว 2,354 ล้านบาทต่อปี สำหรับภาคขนส่ง การใช้เทคโนโลยีระบบนำทางจากดาวเทียมจะลดความเสียหายของผลผลิตระหว่างการขนส่งสินค้าส่งออกในกลุ่มผักและผลไม้ได้ราว 3,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ภาคก่อสร้าง สามารถนำเทคโนโลยีการสำรวจข้อมูลระยะไกล มาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีโดรน เพื่อทำการสำรวจและปรับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพก่อนดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งช่วยให้ต้นทุนการก่อสร้างลดลงราว 10-20%
นายปราโมทย์ วัฒนานุสาร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี และสนับสนุนภาคธุรกิจในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เช่น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีความประเมินว่า หากประเทศไทยมีเป้าหมายจะยกระดับไปสู่ประเทศที่มีความก้าวหน้าทาง Space Technology ในระดับกลาง ต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีจากนี้ หรือลงทุนเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย