ปีบัญชี 65 ธ.ก.ส. ปล่อยกู้กว่า 8.7 แสนล้าน

กรุงเทพฯ 28 เม.ย. – ธ.ก.ส. เผย ปีบัญชี 65 ปล่อยกู้กว่า 8.7 แสนล้าน เดินหน้านำนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างมาตรฐานสากลให้เกษตรกร


นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการและโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปีบัญชี 2565 (1 เมษายน 2565 ถึง 31 มีนาคม 2566) ว่า ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคชนบท 878,338 ล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อสะสมคงเหลือ จำนวน 1,636,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีบัญชีจำนวน 30,509 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.90 ยอดเงินฝากสะสม 1,829,549 ล้านบาท มีสินทรัพย์จำนวน 2,262,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.15 หนี้สินรวม 2,109,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.08 และส่วนของเจ้าของ 153,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.15 และมีกำไรสุทธิ จำนวน 7,989 ล้านบาท

ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (ROA) อยู่ที่ร้อยละ 0.36 อัตราตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ร้อยละ 5.38 ขณะที่ NPLs อยู่ที่ร้อยละ 7.68 โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ร้อยละ 12.63 สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาและลดภาระของเกษตรกร ที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธ.ก.ส. ได้จัดทำมาตรการในการดูแลด้านหนี้สินและเสริมสภาพคล่องลูกค้า ได้แก่ 1) โครงการชำระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าจำนวน 3,361,769 ราย 2) โครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน 2565 ที่ลดดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าไปแล้วจำนวน 467,965 ราย 3) มาตรการจ่ายดอกตัดต้น แก้หนี้ภาคครัวเรือนให้แก่ลูกค้าไปแล้วจำนวน 119,723 ราย 4) มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลาย ได้ลดดอกเบี้ย แก้หนี้ภาคครัวเรือนให้แก่ลูกค้าไปแล้วจำนวน 214,525 ราย 5) มาตรการทางด่วนลดหนี้ แก้หนี้ภาคครัวเรือนให้แก่ลูกค้าไปแล้วจำนวน 2,692 ราย และ 6) โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืน โดยสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วกว่า 82,490 สัญญา จำนวนเงิน 17,722 ล้านบาท


ด้านการดำเนินนโยบายที่มุ่งสู่ความยั่งยืน ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการเข้าไปดูแลชุมชนตามหลัก BCG Model ได้แก่ โครงการแก้หนี้ แก้จนตามหลัก D&MBA โดยดำเนินการไปแล้ว 77 แห่ง ทั่วประเทศ ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มและลดต้นทุนการผลิตไปแล้วจำนวน 7,600 ราย โครงการยกระดับธนาคารต้นไม้สู่ชุมชนไม้มีค่า กว่า 404 ชุมชน โครงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ปลูกต้นไม้ไปแล้ว 150,790 ต้น รวมจำนวนต้นไม้ที่ ธ.ก.ส. สนับสนุนดูแล 12,414,477 ต้น

โครงการการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อพัฒนาศักยภาพกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชนที่เป็นผู้ใช้น้ำให้ยกระดับไปสู่ชุมชนผู้ผลิต โดยเติมองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาลและระบบกระจายน้ำบาดาล เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและการบริหารน้ำบาดาลสำหรับ การทำเกษตรกรรม โดยมีชุมชนที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 1,670 แห่ง ทั่วประเทศ โครงการลดการเผาวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การปลูกข้าวและอ้อยเพื่อลดค่า PM 2.5 สนับสนุนการนำฟางข้าวและใบอ้อยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยลดของเสียจากเศษวัสดุการเกษตรให้เป็นศูนย์ (Zero waste) และเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุการเกษตร

โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเข้าร่วมโครงการ คิดเป็นพื้นที่ทำนารวม 25,850 ไร่ และเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเข้าร่วมโครงการ คิดเป็นพื้นที่ปลูกอ้อย รวม 397,198 ไร่ ซึ่งสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนเพิ่มให้กับเกษตรกรกว่า 420 ล้านบาท จากการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนภาคเกษตรกรรมในการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) ผ่านการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ และการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาด รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติผ่านสินเชื่อ Green Credit และสินเชื่อรักษ์ป่าไม้ไทยยั่งยืนอีกด้วย


นายไพศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ธ.ก.ส. ยังทำหน้าที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ผ่านมาตรการและโครงการสำคัญ ๆ ได้แก่ มาตรการรักษาเสถียรภาพด้านราคาสินค้าเกษตร ผ่านโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 โดยโอนเงินส่วนต่างเพื่อชดเชยเป็นรายได้ให้แก่เกษตรกรในกรณีสินค้าราคาตกต่ำ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์จากการรับโอนเข้าบัญชีโดยตรงไปแล้วกว่า 2.6 ล้านราย เป็นจำนวนเงินกว่า 7,863.72 ล้านบาท โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิตและการเก็บเกี่ยวในอัตรา ไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์ 4.6 ล้านราย เป็นจำนวนเงินกว่า 54,020.70 ล้านบาท

โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยตัดสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 เพื่อบรรเทาปัญหาผลผลิตที่ล้นตลาดทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ และช่วยสนับสนุนรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โดยโอนเงินส่วนต่างแก่เกษตรกรไปแล้วกว่า 114,890 ราย เป็นเงินกว่า 8,110.96 ล้านบาท โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 31,747 ราย จำนวนเงินกว่า 22,496.99 ล้านบาท โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร มีองค์กรและสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 58 แห่ง จำนวนเงินกว่า 4,258.11 ล้านบาท โครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน สนับสนุนสินเชื่อไปแล้วกว่า 14.67 ล้านบาท

โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ สนับสนุนสินเชื่อไปแล้วจำนวน 6,308.38 ล้านบาท โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย มีเกษตรกรเข้าร่วมจำนวน 1,593 ราย เป็นจำนวนเงิน 14,586 ล้านบาท โครงการประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสนับสนุน ค่าเบี้ยประกันภัยให้เกษตรกรไปแล้วกว่า 2,852 ล้านบาท และสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติและภัยพิบัติไปแล้วกว่า 13.36 ล้านบาท นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงการคลังในการเป็นหน่วยงาน รับลงทะเบียนของโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ

โดยจัดเตรียมอัตรากำลัง เครื่องมืออุปกรณ์และสถานที่ ผ่านการตั้งจุดลงทะเบียนที่สาขา ธ.ก.ส. กว่า 1,200 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงประสานหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. กำนันและผู้ใหญ่บ้าน กำหนดจุดให้บริการนอกสถานที่ เพื่อลดภาระการเดินทางและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ลงทะเบียนในการเข้าร่วมโครงการพร้อมกับ การลงทะเบียนยืนยันตัวตน (E-KYC) โดยมีผู้มาลงทะเบียนกับ ธ.ก.ส. ทั้งสิ้นกว่า 6,000,000 คน

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 (คาดการณ์ ณ มีนาคม 2566) จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3.5 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับการจ้างงานและรายได้ของครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้ขยายตัวได้ดีขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทาน การผลิตสามารถกลับมาดำเนินได้ตามปกติ ส่งผลให้ภาคการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

สำหรับเศรษฐกิจเกษตร จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากการส่งออกสินค้าเกษตรที่คาดว่า จะปรับตัวลดลงตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ขยายตัวลดลง อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และสถานการณ์ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังอาจเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญส่งผลกระทบต่อการผลิตข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง แนวโน้มราคาน้ำมันดิบลดลงกระทบต่อแนวโน้มราคายางพาราและราคาปาล์มน้ำมัน ประกอบกับต้นทุนค่าอาหารสัตว์สูงขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่มขึ้น (ผู้นำเข้าสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของไทย) และนโยบายรัฐมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพด้านราคาสินค้าเกษตร ที่จะเป็นแรงสนับสนุนให้รายได้ในภาคเกษตรยังคงเติบโตได้จากปีก่อน

สำหรับปีบัญชี 2566 (1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2567) ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ สร้างวินัยทางการเงินและการออมเงิน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สนับสนุนการแปรรูปและอุตสาหกรรมการเกษตร เน้นการเชื่อมโยงกับเครือข่ายด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเกษตรไปสู่เกษตรมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกร

รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มในการให้บริการแบบครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการผลิต การเชื่อมโยงห่วงโซ่ธุรกิจภาคการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและสามารถจำหน่ายสินค้าเกษตร ได้ตรงกับความต้องการตลาดอย่างแท้จริง โดย ธ.ก.ส. วางเป้าหมายสินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 35,000 ล้านบาท เงินฝากเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 12,000 ล้านบาท และ NPLs/Loan อยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 6.70 ด้านการยกระดับชุมชนสู่ความยั่งยืน ธ.ก.ส. มุ่งเน้นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากภายใต้ BCG Model ได้แก่ การสนับสนุนเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย

การยกระดับการผลิตสู่เกษตรมูลค่าสูง การนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Zero Waste) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนคนรุ่นใหม่ (New Gen) ทายาทเกษตรกร และ Smart Farmer เข้าทดแทนเกษตรกรที่มีอายุมากขึ้น การยกระดับและต่อยอด SMEs วิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์การเกษตรสู่การเป็นเกษตรหัวขบวน การสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกรทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การจับคู่ธุรกิจ การร่วมลงทุน (Venture Capital) กับบริษัทที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะมาช่วยสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจการเกษตร หรือเป็น หัวขบวนที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาและสร้างเกษตรมูลค่าสูง การสนับสนุนและยกระดับชุมชนที่มีความพร้อมไปสู่ชุมชนอุดมสุขที่มีความมั่นคงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการร่วมมือกับภาคีเครือข่ายผ่านโครงการ 1 University 1 Community (1U1C) ในการเติมองค์ความรู้ด้านการพัฒนาการเกษตรอย่างต่อเนื่อง

นายไพศาล กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. มุ่งมั่นในดำเนินการตามพันธกิจในการเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความสำเร็จให้กับเกษตรกรสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน โดยก้าวเดินและเติบโตไปพร้อม ๆ กับธนาคาร ดั่งปณิธานของ ธ.ก.ส. ที่มุ่งมั่นในการสร้าง Better Life , Better Community, Better Pride เพื่อยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

Cambodia PM Hun Manet in military uniform

กัมพูชาเสนอศาลโลกตัดสินดินแดนพิพาทกับไทย

พนมเปญ 2 มิ.ย.- ผู้นำกัมพูชาเสนอให้นำข้อพิพาททางดินแดนกับไทยให้ศาลโลกตัดสิน และได้สั่งการให้เจบีซีเร่งจัดการหารือกับไทยเรื่องปักปันเขตแดน ด้านกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงไทยเรื่องเหตุปะทะที่มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ขแมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานวันนี้ว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตได้โพสต์ถ้อยแถลงในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า เขาได้ตัดสินใจตามที่รับฟังรายงานสรุปจากนายทหารที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย หลังจากที่เขากลับจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ โดยได้สั่งการให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทยหรือเจบีซี (JBC) เร่งจัดการประชุมกับฝ่ายไทยเพื่อเดินหน้าการสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ถ้อยแถลงระบุด้วยว่า กัมพูชากำลังเตรียมบรรจุประเด็นใหม่ไว้ในวาระการประชุมเจบีซี คือ การเสนอให้นำข้อพิพาทยาวนานเรื่องปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาเมือนควาย และพื้นที่มอมเบ เข้าสู่การตัดสินชี้ขาดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกที่กรุงเฮกในเนเธอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเตือนว่า การยั่วยุเมื่อไม่นานมานี้ของกลุ่มสุดโต่งเล็ก ๆ ได้จุดชนวนความตึงเครียดและโหมกระพือกระแสรักชาติขึ้นใน 2 ประเทศ เขาหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุทางออกสุดท้ายให้แก่พื้นที่พิพาทอ่อนไหวเหล่านี้ กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาชายแดนด้วยกลไกทางเทคนิคและหลักการทางกฎหมาย แต่ก็สงวนสิทธิที่จะปกป้องบูรณภาพทางดินแดนด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้อาวุธ หากมีความพยายามใช้กำลังทหารรุกรานดินแดนของกัมพูชา ด้านกระทรวงกิจการต่างประเทศและความร่วมมือสากลของกัมพูชาได้ยื่นหนังสือทางการทูตประท้วงไทย ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาเมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า กองทัพไทยเปิดฉากยิงทั้งที่ไม่มีการยั่วยุจากที่ตั้งทางทหารของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหารเมื่อราวเวลา 05.30 น.วันที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้ทหารกัมพูชาถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม 1 นาย และเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของกัมพูชา กระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำดังกล่าวว่า ผิดกฎหมาย รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันทีและถี่ถ้วน และต้องนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ.-814.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ กัมพูชา สั่งระดมทหารประชิดชายแดนไทย

1 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระดมกำลังทหารประชิดชายแเดนไทย ขณะเดินทางเยือนญี่ปุ่น พร้อมติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดนติดกับไทยอย่างใกล้ชิด หนังสือพิมพ์ขะแมร์ ไทมส์ รายงานว่า ฌอง-ฟรองซัว ตัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศ ระบุว่านับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งตามมแนวชายแดนระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือนญี่ปุ่น ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเดินทางกลับมายังกัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา และได้สั่งการด้วยตัวเองให้ระดมกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าประชิดชายแดนด้านที่ติดกับไทย เพื่อปกป้องอธิปไตยและพรมแดนกัมพูชา พร้อมกับยืนยันว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนด้านที่ติดกับไทย กลับมาสงบเรียบร้อยตามปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ยังได้ติดต่อและสั่งการตามสายงานลงไปยังรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนาธิการกองทัพบก ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย พร้อมกับเรียกร้องประชาชนชาวกัมพูชาเชื่อมั่นการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและรัฐบาลกัมพูชา ในการปกป้องดินแดน และหาหนทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณชายแดนติดกับไทย โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และหลังจากนี้ คณะกรรมการพรมแดนของกัมพูชา มีกำหนดพบหารือในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดข้อขัดแย้ง และนำเสนอเพื่อเข้าสู่การเจรจาต่อไป.-สำนักข่าวไทย

“โอปอล สุชาตา” คว้ามงกุฎ Miss World 2025

อินเดีย 1 มิ.ย.-“โอปอล สุชาตา” สาวงามตัวแทนจากไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎ Miss World 2025 มาครองได้สำเร็จ เวทีการประกวด Miss World 2025 ครั้งที่ 72 ณ HITEX Convention Center เมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย โดย “โอปอล สุชาตา ช่วงศรี” สาวงามตัวแทนจากประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎมิสเวิลด์มาครองได้สำเร็จ โดยการประกวดในปีนี้มีนางงามจาก 108 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วม ทั้งนี้ในรอบ 8 คนสุดท้าย มีนางงามที่ผ่านเข้ารอบได้แก่ บราซิล มาร์ตินีก เอธิโอเปีย นามิเบีย โปแลนด์ ยูเครน ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ซึ่งจนกระทั่ง รอบ 4 คนสุดสุดท้าย มาร์ตีนิก เอธิโอเปีย และ โปแลนด์ ทั้ง 4 […]

ข่าวแนะนำ

รัฐบาลออกแถลงการณ์ปมไทย-กัมพูชา ยันปกป้องอธิปไตยเต็มที่

ทำเนียบ 4 มิ.ย.- รัฐบาล ออกแถลงการณ์กรณีไทย-กัมพูชา ยืนยัน ตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยเต็มที่ ยึดหลักแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และสวัสดิภาพของประชาชน ย้ำ ชายแดน มีความสงบเรียบร้อย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากการประชุมทุกภาคส่วนของ รัฐบาลภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย -กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น เช้าวันนี้ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 07.00 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์กรณีดังกล่าวดังต่อไปนี้ แถลงการณ์รัฐบาล “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทยซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีสถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับรวมถึงนายกรัฐมนตรี […]

อุตุฯ เผยไทยฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 60%

กรุงเทพฯ 4 มิ.ย. – กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% และมีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส.-สำนักข่าวไทย

จุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล

นายกฯ เป็นประธานถวายเครื่องราชสักการะ-จุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

สนามหลวง 3 มิ.ย.-นายกรัฐมนตรี และคู่สมรส เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 เวลา 19. 49 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยมีผู้แทนประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคู่สมรส คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีและคู่สมรสเดินทางถึงพิธีท้องสนามหลวง ขึ้นสู่เวที นายกรัฐมนตรี ผู้แทนประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ทำวันทยหัตถ์หน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แล้ววางพุ่มทอง พุ่มเงิน จากนั้นนายกรัฐมนตรีถวายธูปเทียนแพ จุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล […]

ตรวจความพร้อมรบ

แม่ทัพภาค 1 ตรวจความพร้อมรบ พล.ร.9 พร้อมเสริมกำลังทัพภาค 2

กาญจนบุรี 3 มิ.ย.- แม่ทัพภาคที่ 1 ตรวจความพร้อมรบ พล.ร.9 กองกำลังสุรสีห์ ตามแผนเผชิญเหตุ ทบ. พร้อมเสริมกำลังทัพภาค 2 ชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นที่ผ่านมา ที่สนามฝึกทางยุทธวิธี พล.ร.9 จ.กาญจนบุรี พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค 1 เดินทางไปตรวจความพร้อมหน่วย ตามแผนเผชิญเหตุของกองทัพบก ทั้งหน่วย กรมทหารราบเฉพาะกิจ กองทัพภาคที่ 1 และกองพันพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว RDF กองทัพภาคที่ 1 โดยมี พล.ต.อัษฎาวุธ ปันยารชุน ผบ.พล.ร.9 ให้ต้อนรับ พล.ร.9 ได้รับมอบหมายจากกองทัพบก ให้จัดกำลังเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของกองทัพบก ในการใช้กำลังตามแผนเผชิญเหตุของกองทัพบก เข้าในพื้นที่ที่รับผิดชอบ และให้การสนับสนุนเสริมกำลังรบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 1 โดยหน่วยเตรียมกำลังได้ตรวจสภาพความพร้อมรบตามขั้นตอน เพื่อตรวจสอบความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการปฏิบัติภารกิจในทุกพื้นที่ที่ได้รับมอบภารกิจจากกองทัพบก ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ให้โอวาสกำลังพล ในการเตรียมความพร้อมในทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากกองทัพบก โดยขอให้มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และพร้อมดูแลพี่น้องประชาชน […]