กรุงเทพฯ 18 เม.ย.- บล. เอเซีย พลัสชี้ นักลงทุนลุ้นให้มีพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย หวังให้เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจใหม่ๆ เพื่อส่งผลดีตลาดหุ้นไทย เตือนนโยบายประชานิยมมีความเสี่ยงต่อวินัยการเงินการคลัง คาดในไตรมาส 2 ของปี SET Index ฟื้นกลับได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เผยผลวิเคราะห์สถานการณ์การลงทุนของประเทศไทยในหัวข้อ “ตลาดหุ้นหลังเลือกตั้งจะปังมั้ย”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 พ.ศ 2566 ยังผันผวน เพราะติดอยู่กับความกังวลดอกเบี้ยฯ ขาขึ้น,ปัญหาระบบสถาบันการเงินและความเสี่ยงเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยวงจรความกังวลมีจุดเริ่มต้นมาจากการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ เพื่อสกัดเงิน ซึ่งในช่วงไตรมาสแรก เริ่มเห็นผลกระทบมายังภาคสถาบันการเงินสหรัฐฯ (SVB) และยุโรป (Credit Suisse) เริ่มประสบปัญหาสภาพคล่องก่อนที่ FED และ SNB จะเข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ประเมินว่า ปัญหาดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะขยายวงกว้างไปยังสถาบันการเงินต่างๆ หากต้นเหตุที่แท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่อีกด้านหนึ่งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยที่หลีกเลี่ยงผลกระทบได้ยาก
แต่ในระยะสั้น มีปัจจัยหนุน SET Index ให้ฟื้นกลับได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยนักลงทุนยังคาดหวังต่อการสิ้นสุดวงจรขาขึ้นดอกเบี้ยฯ ของ FED ขณะที่การเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโต
นอกจากนี้ นักลงทุนหวังให้มีพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเพื่อให้เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ แต่หากยังคงเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคเหมือนเดิม นโยบายเศรษฐกิจจะไม่มีความชัดเจน
ส่วนนโยบายประชานิยมที่เน้นการแจกเงินแบบให้เปล่าที่หลายพรรคใช้หาเสียง มีความเสี่ยงมาก หากเงินที่อัดฉีด สามารถกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจได้จริง จะส่งผลดีต่อภาคการลงทุน แต่ถ้ากระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง จะส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุนในที่สุด
บล. เอเซีย พลัสยังประเมินว่า ปัจจัยในประเทศที่มีน้ำหนักในทางบวกจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตจากภาคการท่องเที่ยว การลงทุน และการบริโภคครัวเรือน โดยอ้างอิงคาดการณ์ ธปท. คาด GDP Growth 66F ขยายตัว +3.6% ดีกว่า GDP โลกที่ Consensus คาดโตเฉลี่ย 2.3% อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 ที่ฝ่ายวิจัยฯคาดอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น EPS66F ที่ระดับ 91.8 บาท/หุ้น เติบโต 12.6%yoy เทียบกับหลายๆ ประเทศเติบโตไม่ถึง 2 หลักฯ เป็นแม่เหล็กดึงดูด Fund Flow กลับมาหาเรา รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายใหม่ๆจากการเลือกตั้ง หนุน SET Index ฟื้นกลับได้เป็นบางช่วงเวลาโดยกำหนดเป้าหมายดัชนีที่ 1610/1670 จุด (บนสมมติฐาน MEYG 4.0% EPS66F ที่ 91.8 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมาย SET Index ที่ 1610 จุด อย่างไรก็ตามในภาวะที่ Fund Flow ไหลเข้าในอดีตมีหลายๆ ครั้ง MEYG ที่ต่ำกว่าระดับ 3% โดยหากประเมินบนสสมติฐาน MEYG 3.75 และตัวแปรอื่นๆคงที่ SET มีโอกาสขึ้นไปแตะ 1670 จุดได้เช่นกัน)
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสมหุ้นเมื่อ SET Index อยู่ในระดับต่ำกว่า 1610 จุด โดยเลือกหุ้นสภาพคล่องสูง (เป็นเป้าหมายของ Fund Flow) บวกกับกำไรมีแนวโน้มผ่านจุดเลวร้าย (Bottom Out) อย่าง ADVANC, AMATA, BGRIM, SNNP, JMT, STEC .-สำนักข่าวไทย