กรุงเทพฯ 29 ก.ค. – คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เข้าพบ รมว.พลังงาน ผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อหารือถึงความร่วมมือด้านการจัดการกับวิกฤติพลังงาน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้พบปะหารือและอธิบายสถานการณ์ด้านราคาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นวิกฤติพลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลกและเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ต่อคณะ กกร. ว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แสวงหาแนวทางต่างๆ ร่วมกันในการลดผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า อาทิ การปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาถูก การแสวงหาแหล่งก๊าซในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม การลดความต้องการใช้ก๊าซในภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้มีก๊าซจากอ่าวไทยเข้าสู่ภาคไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เป็นต้น
โดยแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น สามารถลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าตลอดปี 2565 ได้หลายหมื่นล้านบาท รวมถึงมีนโยบายให้ทาง กฟผ. ได้แบกรับภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไว้บางส่วนเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน นอกจากนี้ในปี 2566 ทิศทางของต้นทุนเชื้อเพลิง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากจะมีการผลิตก๊าซจากแหล่งในอ่าวไทยได้เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงในที่สุด
“กกร.และ กกพ.จะแสวงหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการลดต้นทุนเชื้อเพลิงและคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
สำหรับผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้มีการทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft สำหรับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีการปรับลดลงจากมติ กกพ. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ 190.44 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลง 35.53 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งการลดค่า Ft ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ กกพ. ในการคำนวณค่า Ft ซึ่งยังไม่รวมกับ การลดต้นทุนที่จะเกิดขึ้นความร่วมมือทุกผ่ายในอนาคตอันใกล้ ซึ่งหากแล้วเสร็จก็จะเร่งให้เสนอ กพช หรือ กกพ พิจารณาให้มีผลทันที เพื่อลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าของ ธุรกิจ และอุตสาหกรรม รวมถึงร่วมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ของประเทศต่อไป .-สำนักข่าวไทย