กรุงเทพฯ 21 ต.ค.- บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น หรือ PCC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) วันแรก ราคาเปิดที่ 4.02 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท เหนือจอง 0.5% จากราคาไอพีโอ 4.00 บาท ผู้บริหารเผย เตรียมนำเงินรระดมทุนใช้ก่อสร้างศูนย์การขายและการตลาด ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น หรือ PCC ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจ่ายไฟฟ้า รวมถึงผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก ราคาเปิดที่ 4.02 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท เหนือจอง 0.5% จากราคาไอพีโอ (IPO) 4.00 บาท
PCC มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 1,226.62 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 919.62 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก 307 ล้านหุ้น โดยเสนอต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท ในระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 4.00 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,228 ล้านบาท
นายภากร ปิตธวัชชัย ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ขอแสดงความยินดีที่บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น ฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นวันแรก ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,906.48 ล้านบาท โดย PCC ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (holding company) ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก คือ 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจ่ายไฟฟ้า 2) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง พร้อมผลิตและติดตั้งระบบควบคุม และ 3) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ซึ่งถือได้ว่าบริษัท มีจุดเด่นด้านระบบไฟฟ้าแบบครบวงจร การเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการเพิ่มโอกาส ในการเติบโต และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัท โดยบริษัทมีแผนนำเงินทีได้จากภเป็นเงินทุนหมุนเวียน เชื่อว่า ด้วยประสบการณ์และวิทัศน์ของทีมผู้บริหารที่ยาวนานกว่า 30 ปี ประกอบการบริหารที่ยึดหลักจรยธรรมและมีบรรษัทบาลที่ดี ย่อมนำพาบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนต่อผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
ด้านนายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า PCC มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจเกือบ 40 ปี และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรตามแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ ซึ่ง PCC เล็งเห็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ด้วยระบบตลาดแบบดิจิทัลและแนวทาง Total Customer Solutions ทั้งนี้ PCC มีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ในการก่อสร้างศูนย์การขายและการตลาด ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ บริษัทจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ครอบครัวสัมฤทธิ์ ถือหุ้น 20.14% ครอบครัวณัฐชยางกุล ถือหุ้น 12.62% ครอบครัวเสนีย์มโนมัย ถือหุ้น 7.27% ครอบครัวจุฬานุตรกุล ถือหุ้น 6.17% และครอบครัวลิขิตสินโสภณ ถือหุ้น 5.18%. -สำนักข่าวไทย