กรุงเทพฯ 28 ก.ย.-กลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุกชี้แม้ทองคำช่วงนี้จะเป็นขาลง แต่เพราะเงินบาทอ่อนค่าจึงทำให้ทองไทยยังลงไม่มาก แนะนักลงทุนระยะยาว ทยอยซื้อเก็บทีละ 10% แล้วขายออก คาดเพราะภาวะการตกของราคาทองคำจะลดลงตามดอกเบี้ย ประมาณกลางปี 2566
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุก เปิดเผยถึงทิศทางทองคำ ภายหลัง กนง.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ว่าภาพรวมราคาทองคำอยู่ในภาวะขาลงมากว่า 2 เดือนแล้ว แม้จะมีแกว่งตัวในบางช่วง แต่เทรนด์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงขาลง ดังนั้นในเชิงการลงทุน นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุน ตลาดบ้านเรามีตลาดรองรับคือตลาด TFEX หลังทองไทยหลุดบาทละ 3หมื่น ราคาทองคำก็ค่อยๆขยับลงอย่างมีเสถียรภาพเนื่องจากถูกกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จะเห็นว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดอลลาร์มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในรอบ 19 ปี ดอลลาร์ Index ขึ้นจากระดับ 99 เป็น 114 ถือว่าแข็งแกร่งมาก เป็นสาเหตุทำให้เงินบาทอ่อนค่ามาก หลายฝ่ายจึงจับตาผลการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. บ่ายนี้ว่าจะขึ้นไปเท่าไหร่ บางกระแสคาดการณ์ว่า 0.25 หรืออาจจะมากถึง 0.50 ซึ่งจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ เพราะเปรียบเทียบผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกากับไทยก็มีความแตกต่างกันมาก พันธบัตรสหรัฐอเมริกา 2 ปีอยู่ที่ 4.3% ส่วนของไทยอยู่ที่ 2%เศษๆ ซึ่งก็จะทำให้เงินทุนไหลออกเยอะ
ขณะนี้ราคาทองคำตลาดโลก มีแนวรับอยู่ที่ 1,620 ดอลลาร์แนวต้านที่1,640 ดอลลาร์ มีโอกาสที่จะลดลงอีก จนไปแตะ1,600 เหรียญ ส่วนทองไทยมีแนวโน้มปรับลดลงเช่นเดียวกัน แต่จะไม่ลงมากเนื่องจากเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะทำให้ทองไทยยังอยู่ในระดับสูง เช่น เดียวกับในช่วง ปี 2540 ยุคฟองสบู่แตก ราคาทองตลาดโลกยังทรงตัวในระดับเดิม แต่เมื่อเงินบาทอ่อนค่าจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 40-50 บาทต่อดอลลาร์ กลับทำให้ทองไทยขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้ก็เช่นเดียวกันแม้ทองคำโลกจะปรับตัวลดลง แต่เพราะเงินบาทอ่อนค่า ทองคำไทยจึงจะลงไม่มาก ดังนั้นในเชิงการลงทุนถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาว แนะนำว่าให้ทยอยซื้อเก็บทีละ 10% เพราะยังมีโอกาสตก โดยคาดว่าภาวะการตกของราคาทองคำจะลดลงก็ต่อเมื่อภาวะกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยจะลดลง ซึ่งคาดว่าจะเป็นประมาณกลางปี2566
ลในส่วนของ TFEX ได้ปรับกลยุทธ์เป็นขาลงโดยการขายก่อนล่วงหน้า แต่สำหรับการลงทุนทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณในบ้านเรา ของลูกค้าที่มีอยู่แล้ว ยังไม่จำเป็นต้องขายทิ้งทั้งหมด อาจจะแบ่งขายไปบ้าง แล้วซื้อกลับในช่วงราคาอ่อนตัวก็จะทำให้ได้สินค้าในราคาถูก ส่วนวิธีการแบ่งก็ขึ้นอยู่กับเงินเย็นของนักลงทุน โดยควรจะแบ่งมาประมาณ 10-20% .- สำนักข่าวไทย