กรุงเทพฯ 23 เม.ย. – เอเซีย พลัส คาดปี 2567 กนง.ลดดอกเบี้ย ครั้งเดียว มิ.ย.นี้ เงินบาทไม่หลุด 37 บาท/ดอลล่าร์ ชี้ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 “หวัง SET is back. ยืนเหนือ 1350 จุด” แนะนำหุ้นทยอยฟื้นตามเศรษฐกิจ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด(ASPS) ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด และเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงเศรษฐกิจ อาทิ นโยบายการคลังที่เข้มข้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ภายในช่วงเวลาเพียง 5-6 เดือน ด้วยมูลค่า 3.48 ล้านล้านบาทสูงกว่าปีก่อน 9.3% รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆของภาครัฐ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป ต่อมาเป็นความคาดหวังการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น แม้ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจจะคงไว้ 5.5% ยาวนานขึ้น หลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาด แต่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงน่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ยังมีการสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทย คอยหนุนปริมาณการซื้อขายจะค่อยๆ กลับมา หลังทางการเพิ่มชั่วโมงซื้อขายจาก 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน เป็น 5 ชั่วโมงต่อวันและมีมาตรการในการกำกับดูแลตรวจสอบ Short Selling, Program Trading คาดเริ่มมีผลบังคับใช้ช่วง 2Q67 หนุน Turnover ของ SET มีโอกาสกลับมาสูงกว่า 70% ต่อปี
ในช่วงไตรมาส 2 ตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น คือ 1.มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q67 ที่มีโอกาสเติบโต QoQ เด่น จากฐานกำไรงวด 4Q66 ที่ต่ำกว่าปกติ พร้อมกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหนุน หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงกว่า 7% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่ามีสัดส่วน Market Cap กว่า 40% รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นแรงเกิน 15%QoQ หนุนให้เกิด Stock Gain ในหุ้น Commodity ที่มีสัดส่วนหลักในตลาด 2.มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1350 จุด โดย SET ที่ระดับ 1350 จุด มี PER67F ที่ 16.6 เท่า (-1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.31 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี) อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่ส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้กับหุ้นกว้างมาก โดยมีMEYG ที่ 4.25% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) หนุนให้เม็ดเงินมีโอกาสทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป
”ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้นนโยบาย 1 ครั้งในปีนี้ ในการประชุมเดือนมิถุนายน ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่า คาดว่า อ่อนค่าสุดในระดับไม่หลุด 37 บาทต่อดอลล่าสหรัฐ” นายเทิดศักดิ์กล่าว
ด้าน นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บล.เอเซีย พลัส คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงสามไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จะมีการเคลื่อนไหวแบบ side-way down เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ จะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 2.50% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 2.00-2.25% ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้าสังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 3 ปี ที่ตอนนี้อยู่ในช่วง 2.265-2.387% โดยล่าสุดตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะเริ่มลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีลงไป ในส่วนมูลค่าหุ้นกู้ที่มีปัญหา ณ สิ้น Q1/2024 มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 122,271 ล้านบาท คิดเป็น 2.70% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว ซึ่งถือว่ายังเป็นสัดส่วนที่น้อย โดยส่วนใหญ่หุ้นกู้ในตลาดยังถือว่าเป็นทางเลือกที่มั่นคงและปลอดภัย
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้สภาวะตลาดดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลง คือ ทยอยสะสมซื้อหุ้นกู้ในช่วงที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และ ซื้อตามวัตถุประสงค์การลงทุน-516-สำนักข่าวไทย