กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. – ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ “สวมหน้ากากอนามัย-หน้ากากผ้า” ตามความสมัครใจ มีผลทันที พร้อมย้ำประชาชนยึดหลักพิจารณาตามข้อกำหนดกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย.65) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 46 โดยให้มีผลบังคับใช้นับตั้งแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ประกาศฉบับดังกล่าวได้ระบุข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคำแนะนำของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ซึ่งในข้อ 3 เรื่องการผ่อนคลายข้อปฏิบัติในการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทั่วราชอาณาจักร มีสาระสำคัญว่า
เพื่อให้ประชาชนสามารถดําเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับสภาวะปกติยิ่งขึ้น จึงสมควรผ่อนคลายข้อจํากัดในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า โดยยกเลิกความในข้อ 1 แห่งข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2564
การสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ให้เป็นการปฏิบัติโดยความสมัครใจ โดยขอให้ประชาชนพิจารณาประโยชน์ตามข้อมูลที่ฝ่ายสาธารณสุขรายงานว่า การสวมหน้ากากอย่างถูกวิธีเป็นประโยชน์ด้านสุขอนามัยในการป้องกันการแพร่เชื้อและการรับเชื้อ ทั้งเชื้อโรคโควิดและโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ รวมทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) จึงมีข้อแนะนําให้ประชาชนทั่วไปสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสถานที่หรือในพื้นที่แออัด มีการรวมกลุ่มคนจํานวนมาก ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ หรืออากาศระบายถ่ายเทไม่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หรือรับเชื้อ
อย่างไรก็ตาม กรณีเป็นผู้เข้าข่ายเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้อโควิด-19 จะมีอาการรุนแรง หรือความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต (กลุ่ม 608) หรือผู้ที่มีโรคประจําตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีตลอดเวลาเมื่อต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ และกรณีเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 หรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากเชื้อโควิด-19 จําเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีตลอดเวลาเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่โรค ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งชี้แจง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้ประชาชนทุกภาคส่วนทราบถึงแนวการปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดความปลอดภัย สอดคล้องกับมาตรการสังคม ชุมชน และองค์กร เปลี่ยนผ่านสู่ระยะ Post-Pandemic เฝ้าระวังและกํากับติดตามสถานการณ์ รวมทั้งจัดทําแผนการบริหารจัดการความเสี่ยง เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ในราชกิจจานุเบกษา ยังประกาศเรื่องการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ และยกเลิกการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรค การผ่อนคลายการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร รวมถึงแนวทางปฏิบัติการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ ตลอดจนมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ อาทิ การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน รวมถึงเปิดสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ. – สำนักข่าวไทย