หล่อเก่งครบสูตร! เจษฎา ศาลาทอง ผู้ประกาศข่าวค่ำ สำนักข่าวไทย ช่อง 9 MCOT HD เลข 30
การันตีความสามารถด้วยดีกรี ด็อกเตอร์
ดร.เจษฎา ศาลาทอง จบปริญญาตรี (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทและเอก จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ประกาศข่าว การเดินทางด้านสายงานข่าวของ ดร.เจษฎา เริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกาศข่าวของ ช่อง UBC ตั้งแต่สมัยที่เรียนระดับปริญญาตรี เรื่อยมาจนจบปริญญาตรี ได้มีโอกาสร่วมงานที่เครือเนชั่นในการรายงานข่าว เป็นเวลา 4 ปี ก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่อยู่ที่นู่นก็ได้เป็นผู้ประกาศข่าวและผู้แปล ภาคภาษาไทยให้กับ Radio Japan ของ NHK World เป็นระยะเวลา 4 ปีเช่นกัน หลังจากที่กลับจากประเทศญี่ปุ่น ก็ผันตัวเองมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งงานด้านสายข่าว ยังเป็นผู้ประกาศข่าวให้กับหลายๆ ช่อง อาทิ กรุงเทพธุรกิจทีวี, สปริงนิวส์ รวมทั้งนักจัดรายการวิทยุของคลื่น FM 100.5 Good Morning Asean ควบคู่ไปด้วย ก่อนที่จะมาเป็นผู้ประกาศข่าวที่สำนักข่าวไทย
ดร.เจษ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ติดตามผลงานของสำนักข่าวไทยมาโดยตลอด เพราะสำนักข่าวไทยเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ และสมัยที่ทำงานอยู่ที่ NHK ประเทศญี่ปุ่นนั้น การเช็กข่าวสารที่เกี่ยวกับประเทศไทย ก็จะติดตามสำนักข่าวไทยนี่แหละ พอมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาทำงานที่นี่ โดยเฉพาะเวลาที่ได้มาเป็นผู้ประกาศข่าวค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาหลักของข่าว ก็รู้สึกดีใจและอยากเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสนี้
เสน่ห์ของการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกับการจับไมค์เป็นผู้ประกาศข่าว ?
ดร.เจษ เล่าว่า การเป็นอาจารย์ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการเป็นผู้ประกาศข่าวค่ำ สำนักข่าวไทยนั้น ทั้งสองอย่างนี้ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารทั้งคู่ ผมมองว่าอันนี้เป็นจุดร่วมที่เหมือนกัน แต่เวลาที่เราสอนเราจะต้องมีเทคนิคอีกแบบหนึ่ง เวลามาเป็นผู้ประกาศข่าวก็จะใช้เทคนิคและวิธีการของการเป็นผู้ประกาศข่าวอีกแบบหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะต่างกันแต่ก็มีเสน่ห์ที่เหมือนๆ กัน
สำหรับการเตรียมตัวก่อนที่จะมานั่งอ่านข่าวบนหน้าจอทีวีนั้น สำหรับผมการเตรียมตัวจะแบ่งออกเป็น 2 อย่าง อย่างแรก จะเตรียมตัวทางด้านร่างกาย ต้องมีการฟิตร่างกาย ออกกำลังกายให้พร้อม ดูแลตัวเองไม่ให้เจ็บป่วย โดยเฉพาะเสียง พยายามจะฝึกในเรื่องของเสียงหรือ Voice Training ให้มีพลังของเสียงมากขึ้น นอนหลับให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ไม่นอนดึกมากเกินไป ไม่นอนน้อยมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดสิว หรืออาจจะทำให้เราเบลอได้และอย่างที่สองคือในส่วนของเนื้อหา อันนี้จะต้องมีการทำการบ้านมาให้ดีๆ เพราะในแต่ละวัน เราอ่านข่าว 1.30 ชม. ข่าวภาคค่ำ มีเรื่องราวเกิดขึ้นเราจะต้องคอยอัพเดทตลอดเวลา อันนี้ถือว่าเป็นการเตรียมตัวในด้านของเนื้อหาและด้านของร่างกาย
คุณมีมุมมองเกี่ยวกับทีวีดิจิตอลในปัจจุบันอย่างไรบ้าง ?
ทีวีดิจิตอลในปัจจุบันถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ของแวดวงโทรทัศน์ไทย อย่างที่เราทราบกันดีว่า พอมันมีช่องที่เพิ่มมามากขึ้น การแข่งขันมันก็สูงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของช่องที่นำเสนอเรื่องข้อมูลข่าวสาร ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกในการดูช่องฟรีทีวีที่มีเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันฝั่งของผู้ผลิตเองในเมื่อมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น สำนักข่าวไทยก็เช่นกัน การที่มีการเปลี่ยนปรับขยับสู้ ก็จะช่วยทำให้การนำเสนอข่าวเป็นไปอย่างมีคุณภาพมากขึ้น สุดท้ายประโยชน์ทั้งหมดก็จะตกไปอยู่กับผู้บริโภค
สังคมออนไลน์ถือเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนยุคปัจจุบันคุณมองว่า?
ในปัจจุบันทุกคนติดและใช้สังคมออนไลน์กันมากขึ้น ในการเผยแพร่ข้อมูล การแสดงความรู้สึกต่างๆ ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นผมมองว่า ปัจจุบันการใช้สังคมออนไลน์ควรจะเป็นไปอย่างรู้เท่าทัน หลักแนวคิดที่ใช้ได้ดีคือ ชัวร์ก่อนแชร์ เหมือนกับที่สำนักข่าวไทยทำอยู่ มันก็สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ถ้าเกิดว่าเรามีข้อมูลอะไรเราต้องให้ชัวร์ก่อนว่าข้อมูลนี้ถูกต้อง ก่อนที่เราจะแชร์ออกไป อันนี้เป็นหลักพื้นฐานง่ายๆ ในการที่จะใช้โซเชียลมีเดีย อย่างปลอดภัยและรู้เท่าทันสื่อ
ทำไมถึงตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่า จะต้องเรียนจบ ดร. จบต่างประเทศ มีแรงบันดาลใจจากอะไร?
สำหรับสิ่งที่ทำให้อยากจะเรียน เป็น ดร. จริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบเรียนหนังสือ รู้สึกว่าเราได้ความรู้ใหม่ๆ มันเป็นการเปิดโลกของเรา อย่างตอนที่สอบชิงทุนได้ไปประเทศญี่ปุ่น เรามีความรู้สึกว่าเราอยากจะไปต่างประเทศ อยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมต่างประเทศ อยากจะรู้ว่าคนต่างบ้านต่างเมืองต่างภาษา เขามีแนวคิด มีความอ่านอย่างไร เลยเลือกที่จะไปเรียนต่อโดยสมัครชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อไปถึงแล้วเรียนต่อปริญญาโทจบแล้ว ก็สามารถที่จะสอบเข้าปริญญาเอกได้เลย เลยมองว่า“มันเป็นโอกาสที่ดี และได้เรียนไม่ใช่แค่ในเฉพาะห้องเรียน ไม่ใช่แค่ตัวปริญญาเท่านั้น แต่โอกาสที่เราจะได้เรียนรู้โลกภายนอก วิธีการคิด การใช้ชีวิต การทำงานแบบคนญี่ปุ่น” และในขณะเดียวกันเวลาเราเรียนปริญญาเอก เราก็จะมีเพื่อนจากหลายๆ ประเทศ มาเรียนด้วย การที่เราได้พบป่ะพูดคุยแลกเปลี่ยน จากเพื่อนที่มาจากหลายวัฒนธรรม หลายประเทศก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีมากเช่นกัน
ในมุมมองของคุณ การทำหน้าที่สื่อมวลชนไทยในยุคดิจิตอล เป็นอย่างไร และอยากฝากอะไร?
การทำหน้าที่สื่อมวลชนในยุคดิจิตอล ทุกคนพยายามจะแข่งขันกันให้สูง เร็ว อะไรที่สามารถขายได้ ก็จะทำออกมา ผมมองว่าแค่นั้นมันไม่พอ มันจะต้องดูถึงความถูกต้อง ผลกระทบที่มีต่อสังคม ทำแล้วสังคมได้อะไร ก่อให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ ซึ่งมันคงจะไม่ได้ไปแค่ความรวดเร็วเท่านั้น โดยมีการกล่าวว่าคนไทย “เวลาที่มีการนำเสนอข่าวที่ผิดๆ ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเขานำเสนอข่าวเร็วแล้วมาขอโทษภายหลัง ผมมองว่าอันนี้เป็นมาตรฐานที่ไม่ควรเกิดขึ้น ผมมองว่าเราต้องนำเสนอข่าวให้ถูกต้อง มีความเที่ยงตรงชัดเจน อยากให้สื่อมวลชนไทยคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย นอกเหนือจากเรื่องของเรทติ้ง และความรวดเร็วในการนำเสนอข่าว”
ณ วันนี้การทำงานควบคู่กันทั้งเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาและนั่งเก้าอี้ผู้ประกาศข่าว จุดสูงสุดในอาชีพคุณ พอใจกับตัวเองในเรื่องไหน?
เนื่องจากทำงานสองอย่างควบคู่กัน ผมก็มองว่า อันที่ 1 คือจะทำอย่างไรให้อาชีพทั้งสองอย่างมีประโยชน์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เช่น เราจะสามารถนำประสบการณ์การเป็นผู้ประกาศมาใช้ได้อย่างไร กับการเป็นอาจารย์ ในขณะเดียวกันความรู้งานวิจัย สิ่งที่เราได้จากแวดวงวิชาการจะนำมาใช้อย่างไรกับการประกาศข่าว ผมมองว่า “จุดสูงสุดคือเราจะเอาสิ่งที่ได้จากสองสิ่ง ประสบการณ์ ความรู้ จากสองอย่างนำมาทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองอย่าง ถ้าสามารถทำได้ ก็ถือว่าเป็นจุดสูงสุดที่ผมภูมิใจ”
กิจกรรมยามว่างนอกเหนือจากการทำงาน คุณมีวิธีผ่อนคลายหรือทำอะไรในวันหยุดบ้าง?
ขณะนี้ก็ดูแลเรื่องสุขภาพด้วย มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้วย ก็จะชอบวิ่ง ตอนนี้ก็วิ่งมินิมาราธอนอยู่ ก็ไปวิ่งตามที่ต่างๆ ไปเชียงใหม่บ้าง สุโขทัยบ้าง ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ปลายปีนี้หวังว่าจะขยับไปวิ่ง ฮาล์ฟ มาราธอนให้ได้ อันนี้เป็นความหวังอยู่ นอกจากนั้นผมก็ชอบวิ่งในสวนทั่วไป นอกเหนือจากการไปวิ่ง ไปเที่ยวแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบก็คือชอบดูหนัง เพราะว่าการที่เราไปดูหนังจะทำให้เราดูวิธีการเล่าเรื่องในแต่ละแบบ หนังที่ผมชอบจะเป็นแนวใช้ความคิด คือ ทริลเลอร์ เพราะจะได้นำมาปรับใช้ในการเล่าเรื่อง การลำดับความคิดต่างๆ
มุมมองความรักในยุค 4 G ? สำหรับในยุค 4 จี ผมว่าความรักของเขา เขาโตมากับในยุคที่แตกต่างกัน อย่างผมหรือคนที่อายุประมาณ 30 กว่าๆ ก็จะมองว่าความรักในสมัยก่อน กว่าที่เราจะส่งข้อความหากันได้ ต้องมีการไปโทรศัพท์ที่สาธารณะ ต้องเขียนจดหมาย กว่าที่เราจะพูดจะบอกอะไรกันได้ มันไม่ใช่ง่ายๆ แต่ในปัจจุบันโซเชียลมีเดียหรือว่าเทคโนโลยีต่างๆ ในการสื่อสาร มันทำให้การส่งข้อความหากัน การสื่อสารกันมันง่ายมากขึ้น เราส่งสติ๊กเกอร์หากัน เราจะบอกว่าคิดถึง อยากขอกอดใครสักคน เราสามารถที่จะส่งหาได้หลายๆ คนเลย อย่างไรก็แล้วแต่ “แก่นของความรักความรู้สึกจริงๆ อย่างเช่น เราคิดถึงใครสักคน เรารักใครสักคน อยากจะกอดกับใครสักคน อยากให้เราซื่อสัตย์ต่อความรัก” เพราะว่าต่อให้เราส่งสติ๊กเกอร์หาคนเป็น10คน แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ก็อยากจะให้เราซื่อสัตย์กับความรัก ความรู้สึก บอกมันเมื่อเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
สามารถติดตามผลงานของคุณผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?
สามารถติดตามผ่าน ทางช่องทาง หลัก 2 ช่องทาง คือ แฟนเพจ เอาไว้อัพเดทข่าวสารต่างๆ แชร์ข่าวที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข่าวเกี่ยวกับสื่อสารมวลชน และเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งถึงทุนการศึกษาด้วย ชื่อว่า อาจารย์เจษ อีกหนึ่งช่องทางถ้าใครอยากจะติดตามเกี่ยวกับรูปภาพต่างๆ ไปดูได้ที่ อินสตาแกรม Jesssalathong เป็นสองช่องทางที่สามารถติดต่อสื่อสาร ถ้าเกิดว่ามีคำติชมอย่างไรในการทำงานของผม ก็สามารถบอกมาได้ผ่านทางสองช่องทางนี้