กรุงเทพฯ 28 ธ.ค. – สคร. เสนอปรับปรุงพ.ร.บ. ร่วมลงทุนปี 2556 ลดอุปสรรคโครงการขนาดเล็ก ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการลงทุนพีพีพีปีละ 47,000 ล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. เปิดเผยว่า สคร.จัดทำยุทธศาสตร์ สคร@ 4.0+ ( SEPO 4.0+ ) ในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2560-2564 โดยเป็นการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหลักการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และ ยุทธศาสตร์กระทรวงการคลังมาใช้ในการพัฒนา โดยเป้าหมายรัฐวิสาหกิจต้องมีบทบาทภารกิจที่ชัดเจน มีศักยภาพในการลงทุนมากขึ้น และ มีความเข้มแข็งทางการเงิน มีระบบบริการจัดการที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้
ขณะที่ส่งเสริมให้เกิดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ พีพีพี จะเพิ่มมากขึ้น มูลค่าการลงทุนจากความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานเฉลี่ยปีละ 47,000 ล้านบาท และ โครงการพีพีพีมีการแบ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสมระหว่างรัฐและเอกชน
นอกจากนี้ในปี 2560 จะมีการปรับปรุงพ.ร.บ. ร่วมลงทุนปี 2556 เพื่อส่งเสริมการร่วมลงทุนเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็วขึ้น ลดขั้นตอนที่มีความยุ่งยาก หลังจากที่พ.ร.บ. ดังกล่าวใช้มาแล้ว 4 ปี พบว่ามีบางข้อต้องแก้ไข โดยจะเสนอให้มีการกำหนดคำนิยามกิจการที่จะเข้าพ.ร.บ.ร่วมลงทุนให้ชัดเจนมากขึ้น กำหนดมูลค่าโครงการที่จะเข้าพ.ร.บ.ร่วมลงทุน เพื่อลดอุปสรรคสำหรับโครงการขนาดเล็กให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
กระทรวงการคลังจะถือครองหลักทรัพย์ของรัฐที่มีความจำเป็นเท่านั้น โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังมีหลักทรัพย์ที่ถือครอง 1.5 ล้านล้านบาท เช่น ธนาคารกรุงไทย ,บมจ. ปตท. , บมจ. ท่าอากาศยานไทย, บมจ. การบินไทย เป็นต้น มาจากการยึดทรัพย์ 5,000 ล้านบาท และ ในปี 2560 อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดกลุ่มหลักทรัพย์ว่าหลักทรัพย์ประเภทใดกระทรวงการคลังจะถือครองต่อไป หรือ จะจำหน่ายออกเพื่อนำเงินกลับมา โดยจะเน้นว่าจะกระทรวงการคลังถือครองเฉพาะหลักทรัพย์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงการคลัง – สำนักข่าวไทย