นนทบุรี 5 เม.ย.-สนค.เผยอัตราเงินเฟ้อเดือน มี.ค.65 ขยับสูงขึ้นตามปัจจัยเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันกลุ่มสินค้าพลังงานสูงต่อเนื่อง ทำให้เงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 5.73 สูงสุดรอบ 13 ปี พร้อมปรับประมาณการเงินเฟ้อทั้งปี 65 เดิมอยู่ที่ร้อยละ 0.7-2.4 เป็นร้อยละ 4-5 โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ย้ำแม้เงินเฟ้ออยู่ช่วงขาขึ้นจากเหตุสงคราม แต่ไม่ควรใช้มาตรการแทรกแซงเพื่อสกัดเงินเฟ้อไม่ให้สูงตามเหตุการณ์
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือนมีนาคม 2565 เท่ากับ 104.79 (ปี 2562 = 100) สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ร้อยละ 5.73 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากสินค้าและบริการในประเทศปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุน ทั้งราคาพลังงาน วัตถุดิบที่นำเข้า และค่าขนส่ง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และพันธมิตร ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบที่รุนแรง เพราะต้นทุนทางเศรษฐกิจมีความเปราะบาง สำหรับสินค้าในกลุ่มอาหารสดปรับสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วไม่มาก ขณะที่ข้าวสาร ผลไม้สด ค่าเช่าบ้าน เสื้อผ้าและรองเท้า ราคาปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนนี้ เทียบกับเดือนที่ผ่านมา สูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.66 (MoM) เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว โดยสินค้าบางรายการราคาปรับลดลง
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม อยู่ที่ร้อยละ 5.73 ยังคงเป็นราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานที่สูงขึ้นร้อยละ 32.43 โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นร้อยละ 31.43 และค่ากระแสไฟฟ้าสูงขึ้นร้อยละ 39.95 ซึ่งเป็นไปตามราคาพลังงานในตลาดโลก สินค้าประเภทอาหาร ได้แก่ เนื้อสัตว์ (สุกร ไก่สด) ไข่ไก่ ผักสดบางชนิด เครื่องประกอบอาหาร และอาหารปรุงสำเร็จ ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบ รวมทั้งฐานราคาในเดือนเดียวกันของปีก่อนอยู่ในระดับต่ำ มีส่วนทำให้เงินเฟ้อในเดือนนี้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าที่จำเป็นอีกหลายรายการ อาทิ ข้าวสาร ผลไม้สด ค่าเช่าบ้าน เสื้อผ้าและรองเท้า ราคาปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สูงขึ้นร้อยละ 0.66 เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 (เดือนก่อนหน้าสูงขึ้นร้อยละ 1.06) จากการสูงขึ้นของราคาเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ นอกจากนี้ เนื้อสุกร ปลาและสัตว์น้ำ ข้าวสาร และนมและผลิตภัณฑ์นม รวมถึงของใช้ส่วนบุคคล ราคาปรับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 4.75 และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สูงขึ้นร้อยละ 1.91 ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนมีนาคม 2565 สูงขึ้นร้อยละ 11.4 ตามต้นทุนการผลิต และราคาวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ และสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง (เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี) รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าเกษตรสำคัญ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง สูงขึ้นร้อยละ 8.6 เป็นการสูงขึ้นในทุกหมวดสินค้า ตามต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตวัสดุก่อสร้าง (น้ำมัน เหล็ก ถ่านหิน อะลูมิเนียม) ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 43.8 จากระดับ 44.6 ในเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยลบจากราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มาตรการช่วยเหลือที่ภาครัฐทยอยออกมาเพิ่มเติม และราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ มีการปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2565 เป็นระหว่างร้อยละ 4.0-5.0 (ค่ากลางที่ร้อยละ 4.5) จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในเดือนธันวาคม 2564 ระหว่างร้อยละ 0.7-2.4 (ค่ากลางที่ร้อยละ 1.5) โดยสมมติฐานจากราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 90-110 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32-34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และจีดีพีของประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5-4.5
แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง โดยยังเชื่อว่า หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 4-5 ถือว่าเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในรอบ 13 ปี และมองว่าไม่ควรที่จะออกมาตรการแทรกแซงเงินเฟ้อให้ต่ำลง เพราะถือเป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ รวมทั้งมาตรการของภาครัฐ ทั้งการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น การพยุงราคาพลังงาน และการอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อของไทย.-สำนักข่าวไทย