กรุงเทพฯ 4 เม.ย.-“ชัชชาติ” ลงพื้นที่ย่านบางนา พบชาวบ้านบ่นเศรษฐกิจฝืด-ของแพง จี้ กทม.เร่งแก้ เผยนโยบายสร้าง รพ.กทม.ย่านบางนา รองรับคนด้านตะวันออก พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียว แก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย
เวลา 07.00 น.วันนี้ (4 เม.ย.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 8 ลงพื้นที่ย่านบางนา เพื่อหาเสียง โดยเข้ากราบขอพรเจ้าอาวาสวัดบางนาใน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนจะออกเดินขอคะแนนเสียง พร้อมสอบถามสภาพปัญหาจากประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดบางนา
นายชัชชาติ ระบุจากการลงพื้นที่พบว่าชาวบ้านบ่นเป็นเสียงเดียวกันถึงปัญหาเศรษฐกิจ สินค้ามีราคาแพงขึ้น คนมีกำลังซื้อน้อย ประกอบกับปัญหาการระบาดของ covid ซึ่ง กทม. ต้องเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกันยังพบปัญหาเรื่องของการคมนาคม โดยบริเวณแยกบางนา แม้จะมีรถไฟฟ้า BTS และทางด่วน แต่ชาวบ้านยังเจอปัญหาเรื่องค่าโดยสารที่แพง ซึ่ง กทม.มีแผนที่จะทำรถรางสายบางนา- สุวรรณภูมิ ซึ่งต้องทบทวนและดูรายละเอียดว่า ใครจะเป็นคนดำเนินการ ระหว่าง กทม. หรือ รฟม.
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาด้านสาธารณสุขที่ย่านบางนาไม่มีโรงพยาบาลในสังกัดกทม.อยู่ มีเพียงศูนย์ผู้ป่วยนอกย่านถนนสรรพาวุธ จึงจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น รวมถึงการสร้างที่ทำการสาธารณสุขย่อย เพื่อกระจายระบบบริการสาธารณสุขให้ลงถึงชุมชน รวมถึงตั้งเป้า เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ย่านบางนา เช่น พื้นที่ใต้ทางด่วน ที่เปลี่ยนเป็นที่ออกกำลังกายและพื้นที่สีเขียวได้ทันที
ส่วนปัญหาน้ำในคลองเน่าเสีย ซึ่งเจ้าอาวาสวัดบางนาใน ฝากเร่งแก้ไขน้ำในคลองข้างวัด ระบุว่าหากปล่อยปลาลงน้ำ ปลาถึงกับกระโดดขึ้นจากน้ำ เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขได้ไม่ยากเพราะลำคลองอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ต้องไปดูว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำเน่าเสียว่าเกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากที่ใด
นายชัชชาติ ยังระบุถึงป้ายหาเสียงเลือกตั้งที่ได้รับเสียงชื่นชมว่าจัดทำได้ดี ไม่กีดขวางทางเดินว่าตนจัดทำป้ายขนาดเล็ก ใช้งบประมาณน้อย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เกะกะขวางทางเดินเชื่อว่าหากผู้สมัครหลายคนช่วยกันเปลี่ยนแปลงก็จะดีขึ้น พร้อมเผยว่าตนยังมีป้ายหาเสียงเวอร์ชั่นใหม่ที่เล็กกว่าเดิม ขนาดประมาณกระดาษ A3 และมีราคาไม่แพงเริ่มติดตั้งตามชุมชนในเร็ว ๆ นี้
ส่วนการปราศรัยใหญ่กำลังพิจารณาว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ยอมรับว่าตนไม่มีทีมสนับสนุนมืออาชีพ เนื่องจากลงในนามอิสระ ส่วนคนที่มาช่วยงานส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ จึงวางแผนใช้การปราศรัยย่อย และการหาเสียงทางโซเชียลมีเดียแทน.-สำนักข่าวไทย