นนทบุรี 6 ม.ค. – นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งที่ประชุมทบทวนรายการสินค้าควบคุม จากเดิมปีที่ผ่านมากำหนดไว้ 45 รายการ แบ่งเป็นสินค้า 42 รายการ และบริการ 3 รายการ โดยที่ประชุมวันนี้มีมติให้ปรับเพิ่มเป็น 47 รายการ สินค้าเท่าเดิม 42 รายการ แต่ปรับชื่อ 1 รายการ โดยปรับชื่อจากนมผงเป็นผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว
ส่วนบริการปรับเปลี่ยน 1 รายการ จากบริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า เปลี่ยนเป็นบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า เนื่องจากมี พ.ร.บ.คลังสินค้าไซโลและห้องเย็นปี 2558 บังคับใช้แล้ว และเพิ่มอีก 2 รายการ คือ บริการค่าขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ เพื่อสอดรับกับการทำธุรกิจในปัจจุบันที่สินค้าออนไลน์มีบทบาทมาก จึงควบคุมบริการค่าขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ ส่วนบริการอีกตัวที่เพิ่ม คือ บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิส เป็นต้น เพราะประชาชนใช้บริการมากขึ้น
นอกจากนี้ กกร.ยังทบทวนมาตรการกำกับและดูแลสินค้าและบริการควบคุม โดยส่วนใหญ่ยังใช้มาตรการเดิมที่ใช้ในปี 2559 แต่ปรับให้สอดคล้องกับภาวะตลาด 5 รายการ แบ่งเป็นเพิ่มรายละเอียดมาตรการ 1 รายการ ได้แก่ ข้าวสาลี จากเดิมแจ้งปริมาณนำเข้าราคา และแจ้งแผนการนำเข้าทุก ๆ 3 เดือน โดยให้เพิ่มพิกัดศุลกากรและแจ้งแผนเปลี่ยนแปลงการนำเข้าได้ 1 ครั้ง ปรับเปลี่ยนมาตรการ 4 รายการ คือ กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า จากเดิมให้แจ้งราคาล่วงหน้าก่อนเปลี่ยนแปลงราคา แก้ไขเป็นแจ้งราคาให้ทราบหลังเปลี่ยนแปลงราคาทันที เพราะมีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว จึงลดภาระงานที่ไม่จำเป็นกลไกตลาดทำงานอยู่แล้ว รถจักรยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก เช่นกัน จากเดิมแจ้งราคาประจำทุกเดือน เป็นให้แจ้งราคาให้ทราบหลังเปลี่ยนแปลงราคาทันที เพราะมีการเปลี่ยนแปลงราคาไม่บ่อยครั้งและมีการแข่งขันสูง จึงไม่จำเป็นต้องแจ้งประจำทุกเดือนลดภาระงานกรมการค้าภายใน
มันสำปะหลังสดและมันเส้น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ขนย้ายบริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยยกเลิกอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากไม่มีพื้นที่ติดชายแดนและเพิ่มอำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานีแทน เนื่องจากติดกับ สปป.ลาว และ กกร.ยังมีมติทบทวนการปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและบริการและค่าบริการปีนี้ ดังนี้ การแสดงราคาสินค้าจากเดิม 283 รายการ มีการยกเลิก 1 รายการ คือ ฟิลม์ถ่ายรูป คงเหลือ 237 รายการ ส่วนการแสดงค่าบริการ จากเดิม 48 รายการเพิ่ม 1 รายการ เป็น 49 รายการ เพิ่มการจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ หรือออนไลน์ เป็นการปรับตามสถานการณ์ของการค้าขาย เนื่องจากมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก
กกร.ยังเพิ่มการกำกับการดูแลการแสดงสินค้าและรายละเอียดการจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีมติให้แสดงราคา ประเภท ชนิด ขนาด น้ำหนัก รายละเอียดของสินค้าและค่าบริการ พร้อมรายละเอียดรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นให้เห็นอย่างชัดเจนและครบถ้วน เพราะคนซื้อสินค้าออนไลน์ดูรูปขนาดใหญ่แต่เมื่อได้รับสินค้า พบว่าสินค้ามีขนาดเล็กกว่าที่เห็นในภาพ หากไม่ปฏิบัติตามหรือจำหน่ายราคาสูงกว่ามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผลการประชุม กกร.วันนี้จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ คาดว่าจะเป็นวันอังคารที่ 17 มกราคมนี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการปรับค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นว่า ภาพรวมกระทบต้นทุนราคาสินค้าน้อยมาก จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการจะปรับขึ้นราคาสินค้า รวมถึงอาหารสำเร็จรูปข้าวแกง แต่การปรับขึ้นค่าแรงจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และเพิ่มโอกาสการจำหน่ายสินค้า ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้ายังใช้กำลังการผลิตในโรงงานไม่เต็มที่อยู้แล้ว จากการศึกษาของกรมการค้าภายในพบว่าการปรับขึ้นค่าแรงไม่น่าจะมีผลต่อการปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะค่าแรงจะมีสัดส่วนต่อต้นทุนสินค้าประมาณ ร้อยละ 10 – 30 หากขึ้นค่าแรงสูงสุด 10 บาท เท่ากับขึ้นร้อยละ 3.3 กระทบต้นทุนราคาสินค้าเพียงร้อยละ 0.018 และสูงสุดร้อยละ 1.02 เท่านั้น เนื่องจากการผลิตสินค้าปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักรผลิต ค่าแรงที่ปรับขึ้นจึงกระทบราคาสินค้าไม่มาก เช่น นนยูเอชที กล่องละ 12 บาท ผลิตโดยเครื่องจักรกระทบต้นทุนร้อยละ 0.067 เท่านั้น คิดเป็นเงิน 0.01 บาท ผงซักฟอกถุงละ 63 บาท กระทบ 0.132 หรือคิดเป็นเงิน 0.08 บาท หรือ 8 สตางค์เท่านั้น โดยกลุ่มผลิตสินค้าด้วยเครื่องจักรไม่กระทบต่อต้นทุนมาก แต่สินค้าบางกลุ่มที่ใช้แรงงานมาก เช่น การผลิตชุดนักเรียนอาจกระทบต้นทุนตัวละ 1.74 บาท จากชุดละ 180 บาท กระทบต้นทุนน้อยมาก ไม่มีนัยจะปรับราคา ด้านอาหารปรุงสำเร็จที่จำหน่ายราคาจานละ 35 บาท กระทบร้อยละ 0.57 หรือคิดเป็นเงินประมาณ 20 สตางค์ ไม่น่าจะกระทบราคาขาย แต่ในทางตรงกันข้าม การปรับเพิ่มค่าแรงช่วยให้กำลังซื้อผู้ใช้แรงงานเพิ่มมากขึ้น
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน เบื้องต้นจากการศึกษาพบว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับขึ้นเล็กน้อยต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบต่อค่าขนส่งสินค้า แต่การผลิตกระทบน้อย เพราะใช้ไฟฟ้าในการผลิต สำหรับค่าขนส่งคิดเป็นต้นทุนของสินค้าร้อยละ 0.25 และสูงสุดที่ร้อยละ 10.15 เท่านั้น ดังนั้น หากพิจารณาจากระดับราคาน้ำมันดีเซลที่ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาลิตรละ 60 สตางค์ จาก 26.14 บาท เป็น 26.74 บาทต่อลิตร คิดเป็นร้อยละ 2.29 กระทบต้นทุนสินค้าเพียงร้อยละ 0.02 เท่านั้น สินค้ากลุ่มสบู่ ผงซักฟอก ถุงพลาสติก จะกระทบน้อยมาก แต่กระทบมากคิดเป็นร้อยละ 0.09 ในกลุ่มสินค้ามีน้ำหนักมาก เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็กกระทบ ร้อยละ 0.02 อย่างไรก็ตาม หากมองระดับราคาน้ำมันผลกระทบสูงสุดไม่ถึงร้อยละ 1.1
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องติดตามระดับราคาน้ำมันต่อไป หากน้ำมันดีเซลขึ้นไม่เกินกว่าปี 2557 ที่ราคาอยู่ที่ลิตรละ 29.99 บาท ประเมินว่า ไม่น่ากระทบราคาสินค้าต้องปรับเพิ่มขึ้น ประเด็นราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมีผลด้านบวกต่อระดับราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นไป ส่งผลให้เกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยภาพรวมขณะนี้ปัจจัยมีทั้งบวกและลบ แต่ปัจจัยด้านลบมีผลน้อยมาก จึงคาดว่าจะอยู่ในความควบคุมและดูแลได้.-สำนักข่าวไทย