พหลโยธิน 7 ก.พ. – นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายอเมริกันเฟิสท์ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะทำให้ปี 2560 ภาคเศรษฐกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก มีความท้าทายสูง และยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการกีดกันการค้าด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 45 ซึ่งจะกระทบต่อการค้าโลกไม่ใช่แค่จีน ซึ่งหากสหรัฐนำเข้าจากไทยลดลงร้อยละ 1 ก็อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยลดลงถึงร้อยละ 0.9
ทั้งนี้ มองว่าปี 2560 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณร้อยละ 3.3 ใกล้เคียงกับปี 2559 ขณะที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.8 การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 2 โดยที่การท่องเที่ยวยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก รวมทั้งการลงทุนและนโยบายกระตุ้นของภาครัฐ ขณะที่ระดับหนี้ครัวเรือนยังทรงตัวสูงที่ร้อยละ 82 ของจีดีพี ยังเป็นแรงกดดันการบริโภค แต่มีโอกาสที่การบริโภคเพิ่มขึ้นหลังหมดนโยบายรถคันแรก ด้านเงินเฟ้อคาดอยู่ที่ร้อยละ 1.8 จากราคาพลังงานที่ดีขึ้น ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ( กนง.) วันพรุ่งนี้ (8 ก.พ.) คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.50 ต่อไป เนื่องจากยังต้องรอติดตามปัจจัยเสี่ยงที่มาจากความไม่ชัดเจนของนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐ และคาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนปีนี้ คาดว่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐลดลง คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากไทย คาดว่าเงินบาทสิ้นปีจะอยู่ที่ 36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าน้อยกว่าค่าเงินอื่นในเอเชีย เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังเกินดุลระดับสูงที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงนี้ เนื่องจากผู้ส่งออกถือครองเงินดอลลาร์ที่ต้นทุน 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายทำกำไรระยะสั้น เพราะเกรงว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่ามากกว่านี้ เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จึงส่งผลให้บาทแข็งค่า แต่คาดว่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าเกิน 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลและแทรกแซงไม่ให้บาทแข็งค่าเกินไป
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั้งผู้ส่งออกและนำเข้ามีการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพิ่มขึ้น (เฮดจิ้ง) โดยผู้ส่งออกทำเฮดจิ้งประมาณร้อยละ 41.4 ส่วนผู้นำเข้าทำเฮดจิ้ง ร้อยละ 44.4 โดยเป็นผลมาจากความผันผวนของค่าเงินบาท
ส่วนกรณีการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินหรือบี/อี ว่า ส่งผลให้ปี 2560 ปริมาณการออกหุ้นกู้เอกชนจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 600,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 20 – 25 เนื่องจากการออกตั๋วเงินและตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะลดลงจากกรณีผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อี แต่สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีคุณภาพยังคงสามารถระดมทุนในตลาดได้ เพราะยังมีต้นทุนที่ต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสาธารณูปโภค พลังงาน ไฟฟ้า และอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้มากขึ้น.- สำนักข่าวไทย