กรุงเทพฯ 15 ก.ย.- เมื่อวันที่ 14 ก.ย.รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) เพื่อสร้างฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
เมื่อวันที่ 14 ก.ย.นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรีหรือ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) เพื่อสร้างฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมีซีอีโอ ของ 2 บริษัทร่วมลงนาม
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า การร่วมทุนดำเนินการโดย บริษัท อรุณ พลัส ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ร่วมทุน กับบริษัท ลี่ยี่อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ บริษัทย่อยของ Foxconn ด้วยทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3,220 ล้านบาท ในสัดส่วน ร้อยละ 60 และร้อยละ 40 ตามลำดับ คาดจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 65 และการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปีนี้ โดย Foxconn จะใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีในการผลิตและพัฒนาแพลตฟอร์ม Mobility-In-Harmony ผสานกับองคค์วามรู้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของ กลุ่ม ปตท.ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน และทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีอีวีสมัยใหม่ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยจะใช้พื้นที่ใน EEC สร้างโรงงานใหม่ วางระบบการผลิต การบริหาร Supply chain พร้อมตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาทางวิศวกรรม ด้วยเงินลงทุน 1 – 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เบื้องต้นจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 ปี ในการเตรียมพร้อมและเริ่มผลิตออกสู่ตลาด มีเป้าหมายการผลิตในระยะแรก 50,000 คัน/ปี และขยายเป็น 150,000 คัน/ปี ในอนาคต
ด้านผู้บริหารฟอกซ์คอน ระบุว่าการการผนึกความร่วมมือกับ ปตท. ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถนำเอาประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ของทั้งสององค์กร มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศไทยมุ่งสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างแท้จริง และการร่วมทุนก็จะช่วยเติมเต็มระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตให้สมบูรณ์และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมนำพาประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้ต่อไป.-สำนักข่าวไทย